'แกร็บ' ตั้งเป้ามุ่งใช้เทคโนโลยี-นวัตกรรม สู่ Net Zero ภายในปี 2040
แกร็บเดินแผนธุรกิจด้านความยั่งยืน ระบุเป็นโจทย์บังคับที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ รวมอยู่ในแผนธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ ชี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2040
วรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวเนื่องในโอกาสที่ "กรุงเทพธุรกิจ" จัดงาน "Sustainability Forum 2025: Synergizing for Driving Business" ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมาร่วมกันแลกเปลี่ยนกลยุทธ์และประสบการณ์การดำเนินงานเพื่อความยั่งยืน งานจะจัดขึ้นในวันที่ 3-4 ธันวาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น. ณ พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน
กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย รายงานความยั่งยืนประจำปี 2566 (ESG Report 2023) เน้นย้ำการขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตที่ยั่งยืนซึ่งครอบคลุม 3 มิติหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในประเด็น ESG นั้น แกร็บมีความมุ่งมั่นในการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และการร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2040 ซึ่งไม่เพียงเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างคุณค่าให้กับผู้ใช้บริการและผู้ขับขี่ในแพลตฟอร์มอีกด้วย
“ไอเดียที่จะเปลี่ยนเกมของระบบนิเวศทั้งหมดให้มีความเป็น ESG ต้องมีอินเวสเตอร์ เรกูเลตอร์ และกฎหมายที่เท่าทันเทคโนโลยี และวางแผนงานไปในบิสซิเนส แพลน จะตอบโจทย์ทั้ง Topline และ Bottomline”
นอกจากนี้ แกร็บส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างจริงจัง โดยมีแผนจะให้รถยนต์ไฟฟ้าครอบคลุม 10% ของรถที่ให้บริการบนแพลตฟอร์มภายในปี 2026 ในโครงการ Drive to Own ซึ่งเป็นโครงการสนับสนุนให้ผู้ขับขี่สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ ด้วยโมเดลสินเชื่อแบบรายวันและการช่วยเหลือด้านไฟแนนซ์
นอกจากนี้ Grab ยังร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อจัดหารถ EV ในราคาที่เหมาะสมสำหรับผู้ขับขี่บนแพลตฟอร์ม รวมถึงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ IoT ในรถ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการนอกจากการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว Grab ยังมุ่งเน้นการขยายการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า (e-motorcycle) ในระดับท้องถิ่น โดยได้ร่วมมือกับผู้ผลิตและผู้ให้บริการติดตั้งแบตเตอรี่ในหลายจังหวัด รวมถึงการวางจุดชาร์จไฟฟ้าตามจุดสำคัญเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่
ปรับโมเดลธุรกิจของ Grab เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและขยะพลาสติกจากการให้บริการ โดยได้ริเริ่มระบบ Matching แผนที่ของแกร็บเอง เพื่อรวมงานขนส่งในเส้นทางเดียวกัน ลดการใช้พาหนะจำนวนมากในการส่งของและผู้โดยสาร ซึ่งจากการดำเนินงานดังกล่าวช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไปได้ถึง 27,000 ตันในช่วงปีที่ผ่านมา อีกทั้งการเพิ่มการใช้เส้นทางที่มีประสิทธิภาพด้วยการใช้ระบบแผนที่และเทคโนโลยีการนำทาง ลดเวลาการเดินทางและการปล่อยก๊าซที่ไม่จำเป็น
อีกทั้ง ที่ผ่านมา ได้เริ่มโครงการปลูกป่าโดยให้ผู้ใช้แพลตฟอร์มมีส่วนร่วมในการบริจาคเงินเล็กน้อย ซึ่งเงินที่ได้จะนำไปปลูกป่าและอนุรักษ์ป่าในพื้นที่ต่างๆ โดยได้ร่วมมือกับองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมในการติดตามต้นไม้ทุกต้นที่ปลูก เพื่อให้มั่นใจว่าการปลูกป่ามีประสิทธิภาพและสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ผลสำเร็จที่ได้จากโครงการในช่วงปีที่ผ่านมา มีการปลูกต้นไม้ไปแล้วมากถึง 200,000 ต้น ในจ.แม่ฮ่องสอน และจ.กระบี่ โดยจะยังคงขยายโครงการนี้ต่อไปเพื่อสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรักษาสิ่งแวดล้อม
“ที่ผ่านมาลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 70,000 ตัน ปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 280,000 ต้น และลดขยะพลาสติกได้มากกว่า 800 ล้านชิ้นจากการที่ลูกค้าเลือกไม่รับช้อนส้อมพลาสติกในการสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์ม ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ เพื่อมุ่งสู่การสร้างสังคมที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอนาคต”
วรฉัตร เสริมว่า ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากการพัฒนาและปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปหลังโควิด โดยยังคงเปิดโอกาสให้คนไทยใช้แพลตฟอร์มของเราในการสร้างรายได้แล้ว เรายังได้ส่งเสริมให้พาร์ทเนอร์คนขับ-ร้านค้าที่มีข้อจำกัดสามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน ด้วยการให้สินเชื่อแก่พาร์ทเนอร์กว่า 100,000 ราย ในด้านสิ่งแวดล้อม
เรายังคงมุ่งผลักดันโครงการ Grab EV โดยผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจเพื่อสนับสนุนให้พาร์ทเนอร์คนขับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันเราก็ยังเดินหน้าโครงการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset)