'เอ็นที'หั่นรายจ่ายหวังพาองค์กรพลิกกำไร มองหาพาร์ทเนอร์ลุยธุรกิจดิจิทัล
เอ็นที เดินเครื่องปรับโครงสร้างองค์กรยกระดับระบบงานบริการลูกค้า พร้อมหาพันธมิตรเสริมศักยภาพขับเคลื่อนธุรกิจใหม่รองรับตลาดดิจิทัลขยายตัว มองปี 68 ลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก 5,000 ล้านบาท หั่นบุคลากรเหลือ 25% คาดว่าจะลดพนักงานได้ 600-700 คนต่อปี หรือ 3,000 คนภายใน 5 ปี
พ.อ.สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทเข้าควบรวมกิจการกับบมจ.ทีโอที เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2564 และได้ปรับโครงสร้างองค์กรก้าวสู่ปีที่ 5 เปิดเผยทิศทางการขับเคลื่อน เอ็นทีหลังจัดทัพโครงสร้างองค์กรใหม่ในปี 2568 ประกอบด้วย 6 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
- กลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน
- กลุ่มธุรกิจโทรศัพท์ประจำที่และบรอดแบนด์
- กลุ่มธุรกิจสื่อสารไร้สาย กลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศ
- กลุ่มธุรกิจดิจิทัล
- กลุ่มธุรกิจไอซีที โซลูชั่น
ทั้งนี้ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้ 77,955 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2 ล้านบาท แต่ได้รับผลกระทบจากคดีความกับ บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) มูลค่า 4,900 ล้านบาท จึงเปลี่ยนสถานะทางบัญชีจากกำไรเป็นขาดทุน คาดว่าสิ้นปีนี้ขาดทุนที่ราว 200-300 ล้านบาท จากรายได้รวม 84,963 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ปีนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 5,000 ล้านบาท โดยเน้นการลดค่าใช้จ่ายต่อพนักงานที่เคยสูงถึง 35% ของต้นทุนรวม ซึ่งถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับองค์กรอื่นในกลุ่มเดียวกันที่มีค่าใช้จ่ายบุคลากรอยู่ที่ประมาณ 5-7% ของต้นทุนรวม จึงการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อลดลำดับการตัดสินใจ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานปีนี้มีพนักงานเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด (เออลี่รีไทร์) 1,200 คน ทะลุเป้าเป็นครั้งแรก โดยใช้งบประมาณที่กำหนดไว้เต็มจำนวน บริษัทมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจในอนาคต โดยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายต่อพนักงานและเพิ่มการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนในระยะยาว
สำหรับปี 2568 เอ็นทีวางแผนลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก 5,000 ล้านบาท ตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายบุคลากรเหลือ 25% ภายในปี 2572 การเกษียณอายุตามปกติ คาดว่าจะลดพนักงานได้ 600-700 คนต่อปี หรือ 3,000 คนภายใน 5 ปี และเสริมทักษะพนักงานปัจจุบันเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ขณะเดียวกัน จะรับพนักงานใหม่ในตำแหน่งที่จำเป็นผ่านการจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อควบคุมต้นทุนบุคลากรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
พ.อ.สรรพชัยย์ กล่าวว่า สำหรับปี 2568 คาดว่ารายได้จะลดลงเหลือประมาณ 80,000 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากพันธมิตรในธุรกิจโมบายจะเหลือเพียง 7 เดือนแรกของปี โดยปัจจุบัน เอ็นทีวางแผนย้ายลูกค้าจากคลื่น 850 MHz ไปยัง 700 MHz เพื่อควบคุมต้นทุนโครงข่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ และเชื่อว่าปีหน้าจะพลิกกลับมามีกำไรให้ได้
ส่วนรายได้ในกลุ่มดิจิทัลเซอร์วิสที่ 4,300 ล้านบาทในปี 2568 ซึ่งคาดว่า จะเติบโตปีละ 20-30% จากการให้บริการคลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และไซเบอร์ซีเคียวริตี้ พร้อมขยายธุรกิจดาวเทียม LEO ที่คาดว่าจะสร้างรายได้หลักร้อยล้านบาทในปี 2568 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับพันธมิตรต่างประเทศ 2-3 ราย
ขณะเดียวกัน ยังมีแผนจัดตั้งบริษัทลูกใหม่ 2-3 แห่งในปีหน้า เพื่อขยายตลาดในกลุ่มธุรกิจดิจิทัล เช่น ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ บริการคลาวด์ และบรอดแบนด์ บริษัทตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าบรอดแบนด์เพิ่มขึ้น 300,000 รายในปีหน้า
นอกจากนี้ เตรียมนำระบบ ERP ใหม่มาใช้งานในปี 2568 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดความซับซ้อน นอกจากนี้ยังเน้นยกระดับการบริหารงานผ่านการใช้เทคโนโลยี เช่น การเปลี่ยนเอกสารทั้งหมดเป็นระบบดิจิทัล
ขณะที่ รายได้ในกลุ่มดิจิทัลเซอร์วิสแตะ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2571 โดยการขยายการให้บริการคลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และบริการดิจิทัลครบวงจร พร้อมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ดาวเทียม LEO และบรอดแบนด์
การดำเนินธุรกิจตลอด 4 ปีของ เอ็นทีหลังควบรวมองค์กรว่าเน้นการหลอมรวมระบบงานและการจัดการภาพรวมโดยครอบคลุมการลดความเสี่ยง ลดความซ้ำซ้อน ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ ปัจจุบัน เอ็นทีพร้อมก้าวสู่ปีที่ 5 โดยโครงสร้างใหม่ที่ปรับการบริหารงานองค์กรภาพรวมไม่ให้มีความซ้ำซ้อน สามารถบริหารงานและให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ บูรณาการข้อมูลและระบบงานในรูปของดาต้าแพลตฟอร์มที่มุ่งนำศักยภาพด้านบริการดิจิทัลขององค์กรมาใช้กับกระบวนการภายในของเอ็นทีมากขึ้น