จับตาประชุม ครม.นัดแรก 7 ม.ค.นี้ 'ดีอี' ชงเพิ่มโทษอาชญากรรมออนไลน์

จับตาประชุม ครม.นัดแรก 7 ม.ค.นี้  'ดีอี' ชงเพิ่มโทษอาชญากรรมออนไลน์

รมว.ดีอี จ่อชงวาระแก้ พ.ร.ก.อาชญากรรมออนไลน์ เอาผิดโจรออนไลน์เพิ่มโทษ 5 เท่า ให้ค่ายมือถือ-สถาบันการเงิน ร่วมรับผิดหากปล่อยให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ ประเดิมครม.นัดแรก ระบุร่างกฎหมายกำลังผ่านความเห็นชอบกฤษฎีกาแล้ว

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกวันที่ 7 ม.ค. 2568 นี้ กระทรวงดีอีจะเสนอขออนุมัติเห็นชอบ การแก้ไข พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 เพื่อให้การแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น เร่งรัดคืนเงินให้ผู้เสียหาย โดยเฉพาะกรณีที่มีการระงับหรืออายัดบัญชีม้าที่มีเงินในธนาคาร และการเพิ่มโทษ การซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งถือว่า เป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคม โดยจะเพิ่มอัตราโทษจำคุกเพิ่มขึ้นจาก 1 ปี เป็น 5 ปี ด้วย

โดยขณะนี้กฎหมายอยู่ในขั้นตอนของ คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่าง และคาดว่าจะผ่านแล้วภายในสัปดาห์นี้ จากนั้นจะส่งกลับมาให้ ครม.เห็นชอบต่อไป โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ใน ม.ค. 2568

นอกจากนี้ ยังเพิ่มความรับผิดชอบของสถาบันการเงิน ภายใต้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ร่วมรับผิดชอบในความเสียหายของประชาชนที่ถูกหลอกลวงออนไลน์ หากผู้ประกอบการละเลย หรือไม่ดูแลระบบอย่างดีพอ รวมถึง และมีการป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้ายโดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลด้วย

สำหรับแนวทางแก้ไขที่การเปิดบัญชีผิดกฎหมายที่มีลักษณะเป็นบัญชีม้านิติบุคคลนั้น ล่าสุดกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลรายชื่อ บุคคลที่มีความเสี่ยงสูงด้านการฟอกเงิน (HR-03) กับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมออกคำสั่งการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล

ทั้งนี้ หากมีชื่อหุ้นส่วนผู้จัดการ หรือกรรมการ ที่ระบุในคำขอ เป็นบุคคลที่มีชื่อในข้อมูล HR-03 จะชะลอการจดทะเบียนไว้ก่อน และให้บุคคลนั้นมาแสดงตน และแสดงหลักฐาน หากไม่มา จะปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนทันที โดยได้เริ่มบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ม.ค.68 ที่ผ่านมา เพื่อสกัดกั้นการเปิดบัญชีม้านิติบุคคลให้เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง และ เพื่อป้องปรามและปราบปรามการกระทำผิดอย่างจริงจัง

นายประเสริฐ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีข่าวตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และ สน.ห้วยขวาง บุกจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์ ภายในคอนโดมิเนียม ย่านพระราม 9 พบ Sim Box 286 เครื่อง - ซิมการ์ดจำนวน 3 แสนชิ้น เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 ว่า จะมีการขอหารือกับสำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เกี่ยวกับขั้นตอนการจำหน่ายซิมการ์ด และการลงทะเบียนยืนยันตัวตนเพราะแม้ว่า เอกชนที่เป็นเจ้าของซิมดังกล่าวจะระบุว่าเป็น กว้านซิมของรายย่อย แต่ด้วยจำนวนที่มากขนาดนั้นก็จำเป็นที่จะต้องคุยและหารือถึงแนวทางในการจัดสรรเลขหมาย และการจัดจำหน่ายต่อไปด้วย 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์