เมื่อเวลาเดินเร็วกว่าเดิม
![เมื่อเวลาเดินเร็วกว่าเดิม](https://image.bangkokbiznews.com/uploads/images/md/2025/01/122btzMjYlPyrhehnfFK.webp?x-image-process=style/LG)
หลังจากผ่านพ้นปี 2567 เราอาจตื่นเต้นที่จะได้พบสิ่งใหม่ๆ ในปี 2568 ที่เพิ่งมาถึง
เช่นการทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์สมัยที่ 2 ซึ่งสร้างความฮือฮามากมายด้วยการลงมือทำตามที่หาเสียงไว้ทันที ทั้งการปลดเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวในรัฐบาลของไบเดนออกหรือการเนรเทศผู้ลี้ภัยที่ทำผิดกฎหมายจำนวนมาก
เช่นเดียวกับสถานการณ์ความไม่สงบในหลายประเทศที่ทำให้เราเห็นว่ามีเรื่องราวใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายไม่เว้นแต่ละวัน จนดูเหมือนว่าระยะเวลาไม่กี่วันของปี 2568 นี้ กลับรู้สึกเหมือนจะกินเวลามากกว่าปีเก่าหลายเท่าจนทำให้รู้สึกว่าเวลานั้นเดินเร็วขึ้นมาก
ซึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคต่างกัน เช่นมนุษย์ต้องใช้เวลาถึง 1,200 ปีเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมเกษตรกรรม ซึ่งลดเหลือ 120 ปีเพื่อเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม และใช้เวลาเพียง 60 ปีเข้าสู่ยุคสู่ยุคสารสนเทศ แล้วย่อเหลือไม่ถึง 30 ปีจนกลายเป็นยุคดิจิทัลเช่นในทุกวันนี้
การเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นวันนี้จึงไม่ต้องไปถามปู่ย่าตายาย แต่เป็นคนในยุคปัจจุบันที่อาจเกิดทัน การใช้งานเทคโนโลยีโบราณอย่างเช่นโทรเลขซึ่งถือเป็นการส่งข้อมูลที่รวดเร็วที่สุดเมื่อ 30-50 ปีที่แล้ว
กว่าจะได้รับข้อความแล้วตอบกลับได้ก็กินเวลา 1-2 วัน นับได้ว่านานจนคนปัจจุบันคิดไม่ถึงว่า ทำไมเราจึงต้องใช้เวลารอคอยนานขนาดนั้น
หรือจะเป็นเครื่องโทรสารที่เราเรียกกันติดปากว่าแฟกซ์ซึ่งเข้ามาแทนโทรเลขโดยสมบูรณ์ด้วยการส่งภาพและข้อความได้แบบทันทีไม่ต้องรอไปรษณีย์เป็นผู้จัดส่งเหมือนโทรเลข แต่แฟกซ์ก็อยู่ได้ไม่นานนักเพราะโทรศัพท์มือถือเริ่มเข้ามามีบทบาทจนกลายเป็นสมาร์ตโฟนที่ทำหน้าที่แทนทุกอย่างได้จนถึงวันนี้
การถือกำเนิดของสิ่งใหม่ที่เข้ามาทดแทนสิ่งเดิมก่อให้เกิดธุรกิจใหม่และการล้มหายตายจากของธุรกิจเดิมไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด เช่น Kodak ที่เป็นผู้นำธุรกิจด้านการถ่ายภาพและเป็นผู้บุกเบิกกล้องดิจิทัลก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
หรือจะเป็น Nokia ในยุคที่ผู้คนทั่วโลกต่างใช้โทรศัพท์มือถือยี่ห้อเดียวกัน แต่เมื่อถึงยุคสมาร์ตโฟนผู้บริโภคก็ตัดสินใจเลือกอีกครั้งจนกลายเป็น iOS และ Android ในทุกวันนี้ จนพูดได้ว่าทุก 15 ปีเราจะเห็นแบรนด์ชื่อดังบางแบรนด์ล้มหายตายจากไปเป็นเรื่องปกติธรรมดา
คนสมัยนี้จึงมีความโชคร้ายและโชคดีในเวลาเดียวกัน โดยโชคดีนั้นก็คือมีเรื่องราวใหม่ๆ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายสร้างโอกาสในทางธุรกิจให้ได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อแสวงหาความสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันก็ถือว่าโชคร้ายเพราะงานที่ทำอยู่อาจหายวับไปกับตาเพราะอาจมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่งานที่เราทำได้ทุกเมื่อ
ในระยะเวลาเพียงแค่ 15 ปีเราอาจเห็นการเติบโตของธุรกิจที่ก่อตั้ง ขยายตัว รุ่งเรือง ร่วงโรย