‘ค่ายมือถือ’ เข้มมาตรการสกัดภัยแก๊ง ‘คอลเซ็นเตอร์’

‘ค่ายมือถือ’ เข้มมาตรการสกัดภัยแก๊ง ‘คอลเซ็นเตอร์’

2 ค่ายมือถือ “ทรู - เอไอเอส” ลงพื้นที่เร่งมาตรการสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ทรู” ร่วมมือ กสทช. ตรวจสอบเพิ่มสถานีฐานชายแดนไทย-มาเลเซีย “เอไอเอส” เจาะพื้นที่สงขลา เพิ่มมาตรการคุมเข้มเสาสัญญาณ

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นภัยที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ทรูพร้อมสนับสนุนรัฐบาล กสทช. และหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อช่วยปิดกั้นเส้นทางของมิจฉาชีพ ลดความเสียหายต่อประชาชน และสร้างระบบโทรคมนาคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

ขอยืนยันที่จะสนับสนุน กสทช. ซึ่งที่ผ่านมาเสาทรู และดีแทคที่อยู่ตามแนวชายแดน ได้ตัดสายสื่อสารและระงับสัญญาณเป็นที่เรียบร้อยตามคำสั่ง กสทช.

 

ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าสนับสนุนมาตรการของสำนักงาน กสทช. ในการป้องกันการลักลอบใช้สัญญาณโทรศัพท์มือถือโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดน โดยได้ดำเนินการระงับสัญญาณและรื้อถอนอุปกรณ์สื่อสารในพื้นที่เสี่ยงครอบคลุม 7 จังหวัด 11 อำเภอ เมื่อมิ.ย.ปีที่ผ่านมา

ล่าสุดเดินหน้ารื้อถอนเสาเพิ่มเติมอีก 10 แห่งในจังหวัดตาก และดำเนินการร่วมมือต่อไปอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ภายหลังการรื้อถอนแล้วเสร็จ ทีมงานจะลงพื้นที่สำรวจคุณภาพสัญญาณและรับฟังความคิดเห็นจากชุมชน พร้อมวางแผนติดตั้งสถานีฐานขนาดเล็ก (Small Cell) เพื่อทดแทนและรักษาคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพเช่นเดิมและอยู่ภายใต้มาตรการของ กสทช.

‘ค่ายมือถือ’ เข้มมาตรการสกัดภัยแก๊ง ‘คอลเซ็นเตอร์’

นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวบริการ "True CyberSafe" เพื่อปกป้องลูกค้าทรูและดีแทคจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยสามารถสกัดลิงก์และ URL เสี่ยงภัยได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการในการทำธุรกรรมออนไลน์

‘ค่ายมือถือ’ เข้มมาตรการสกัดภัยแก๊ง ‘คอลเซ็นเตอร์’

‘เอไอเอส’ คุมเข้มเสาสัญญาณ

ด้านเอไอเอส รายงานว่ายังคงเดินหน้าสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ แก้ไขและควบคุมเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือบริเวณชายแดนที่มีความเสี่ยง เพื่อป้องกันการใช้สัญญาณก่ออาชญากรรมข้ามแดนจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ล่าสุดทีมผู้บริหารและวิศวกรภูมิภาค ร่วมกับ กสทช., ตำรวจไซเบอร์ ลงพื้นที่ชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา (ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ 2 อยู่ห่างจากเขตแดน ไม่เกิน 1 กิโลเมตร)

โดยเอไอเอสได้ดำเนินการปรับทิศทางการส่งสัญญานให้อยู่ในพื้นที่ประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว และควบคุมกำลังส่งไม่ให้กระจายออกไปนอกประเทศ รวมถึงปรับลดระดับสายอากาศลงมาที่ 15 เมตร เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ ดำเนินการติด Tag ชื่อเครือข่ายที่สายสื่อสารทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ตามมาตรการของภาครัฐ เพื่อยกระดับการป้องกันและปราบปรามเชิงรุก ทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ที่ผ่านมา เอไอเอสได้ลงพื้นที่กวดขัน และปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐ อย่างเคร่งครัดในพื้นที่เสี่ยง บริเวณชายแดน 7 จังหวัด 11 อำเภอ เสร็จสิ้นเรียบร้อยตั้งแต่กลางปี 2567 รวมถึงดำเนินการแก้ไขเสาส่งสัญญาณบริเวณแนวชายแดนเพิ่มเติมในอีก 10 จังหวัด โดยมีกำหนดตามแผนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ตลอดจน ยืนยันการเชื่อมต่อจุดสัญญาณกับผู้ให้บริการในประเทศเพื่อนบ้านต้องได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดต่อลูกค้าและประชาชนในพื้นที่ชายแดนเอไอเอสได้เตรียมดูแลเครือข่าย อาทิ ติด Small Cell, นำรถสถานีฐานเคลื่อนที่มาให้บริการประชาชนให้สามารถติดต่อสื่อสารได้

สถิติปัญหาร้องเรียนออนไลน์

เอ็ตด้า เผยสถิติการรับแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ โดยศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ หรือ 1212ETDA (Online Fraud and Complaint Center) ปี 2567 พบเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ ทั้งหมด 35,358 เรื่องลดลง 21.74% จากปี 2566 ที่พบทั้งหมด 45,190 เรื่อง

ปัญหาที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด คือ

- ปัญหาการซื้อขายออนไลน์ เช่น ได้ของไม่ตรงปก, ไม่ได้รับสินค้า, สินค้าปลอมมากถึง 15,050 เรื่อง คิดเป็น 42.56%

- ปัญหาเว็บไซต์ผิดกฎหมาย เช่น เว็บพนัน, เว็บดูดเงิน, แอบอ้าง/ปลอมแปลงตัวตน, หลอกขายสินค้า จำนวน 11,371 เรื่อง คิดเป็น 32.16%

- ปัญหาอื่นๆ หรือสอบถามข้อสงสัย เช่น ข้อมูลทั่วไป, การถูกข่มขู่หรือคุกคาม, บริการของ 1212ETDA จำนวน 3,039 เรื่อง 8.59%

- ปัญหาหลอกลงทุนและทำงานออนไลน์ เช่น ลงทุนเพื่อทำงานออนไลน์, หลอกให้กูเงิน แต่ไม่ได้เงิน, หลอกลงทุนคริปโตฯ มีจำนวน 1,564 เรื่อง 4.42%

- ปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น ความผิดทางคอมพิวเตอร์, แอปพลิเคชันดูดเงิน, โปรแกรมไม่พึงประสงค์ จำนวน 1,311 เรื่อง คิดเป็น 3.71% ฯลฯ

โดยสรุปแล้ว กลโกงมิจฉาชีพ มักใช้หลอกลวงผู้บริโภคออนไลน์ที่พบมากสุด คือ

- การหลอกขายสินค้าไม่ตรงปก

- หลอกลวงผ่านเว็บพนันออนไลน์

- หลอกให้จ่ายเงินแล้วไม่ได้ของ

- แฮกข้อมูลโทรศัพท์ ข้อมูลส่วนบุคคล และบัญชีโซเชียลมีเดีย

- ส่ง SMS แอบอ้างบุคคลหรือหน่วยงาน เพื่อหลอกให้กดลิงก์ แอบอ้าง/ปลอมแปลงตัวตน เพื่อหลอกลวงคนอื่น

- หลอกขายสินค้าปลอม

- แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นต้น

อย่างไรก็ดี การที่ตัวเลขร้องเรียนปัญหาออนไลน์ผ่านช่องทางดังกล่าวมีสัดส่วนลดลง อาจเป็นผลมาจากการเอาจริงเอาจังในการป้องกันและแก้ไขปัญหาของทุกภาคส่วน แต่ทั้งนี้ปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ โดยเฉพาะการซื้อขายของออนไลน์ รวมถึงปัญหาเว็บไซต์ผิดกฎหมาย เว็บพนันเว็บดูดเงิน หรือแม้แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง