คนสร้างชาติสร้างความสำเร็จ

คนสร้างชาติสร้างความสำเร็จ

ผมมีโอกาสไปติดต่อธุรกิจที่ประเทศจีนอยู่เป็นประจำ และทุกครั้งที่ไปนั้นล้วนเป็นการถูกเชิญอย่างเป็นทางการจากองค์กรต่างๆ

ซึ่งเราจะได้เห็นมุมมองจากภาคธุรกิจเป็นหลัก การเดินทางครั้งล่าสุดของผมเป็นการเดินทางโดยส่วนตัวจึงทำให้ได้สัมผัสประเทศจีนในอีกมิติหนึ่งซึ่งน่าสนใจไม่แพ้กัน

เพราะตลอดระยะเวลาราวๆ 30 ปีที่ผ่านมาการเติบโตของจีนนั้นช่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจำนวนประชากรและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ทั่วโลกต้องจับตาในฐานะประเทศที่เติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดติดต่อกันหลายปี 

ถึงหลายคนจะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะจำนวนประชากรที่เยอะมากขนาดนั้นก็ย่อมมีตลาดในประเทศขนาดใหญ่ที่เป็นรากฐานให้เติบโตได้อยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงเราก็เห็นอินเดียที่มีจำนวนประชากรมากกว่าแต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความสำเร็จแบบจีนได้

ยกตัวอย่างจากเรื่องง่ายๆ ที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวันอย่างหม้อหุงข้าว ซึ่งผมมีโอกาสเดินสำรวจตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศจีน จึงได้เห็นยี่ห้อของญี่ปุ่นที่คนไทยรู้จักคุ้นเคยกันดีวางอยู่ร่วมกับของจีนซึ่งเป็นยี่ห้อที่เราอาจไม่คุ้นหูสักเท่าไร

ที่สังเกตได้คือสินค้าจากทั้งจีนและญี่ปุ่นนั้นมีความแตกต่างกันน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณสมบัติ ลูกเล่นการใช้งาน รวมถึงการออกแบบที่มีความใกล้เคียงกันมาก ยกเว้นก็แต่เรื่องของราคาที่สินค้าจีนนั้นมีราคาต่ำกว่า 3-5 เท่า

น่าคิดที่สินค้าอย่างเดียวกัน และเป็นสินค้าที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีซับซ้อนมากนักกลับทำให้จีนมีความได้เปรียบสินค้าจากญี่ปุ่นได้มากขนาดนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกดให้ต้นทุนในการผลิตต่ำได้หลายเท่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

ความสำเร็จของจีนจึงไม่ได้มาจากแค่เรื่องจำนวนประชากรเท่านั้น แต่มีปัจจัยอื่นอีกมากมาย เช่นตลาดการค้าเสรีที่เริ่มอย่างจริงจังหลังการก่อตั้ง WTO ในปี 1995 ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกประเทศที่มีความพร้อมค้าขายกับทุกประเทศได้ ซึ่งสหรัฐ ญี่ปุ่น เกาหลี ประเทศแถบอาเซียนอีกหลายๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทยเรา และจีนที่สามารถคว้าโอกาสนี้เอาไว้ได้สำเร็จ

หลังจากเปิดเสรีทางการค้าได้ไม่นานบทบาทในการเป็นโรงงานของโลกจึงตกอยู่กับจีนเพราะสามารถจัดการต้นทุนได้อย่างที่ไม่มีประเทศไหนทำได้ ในอดีตราวยี่สิบปีที่แล้วเราจึงเห็นการแพร่หลายของสินค้าจีนไปทั่วโลก แม้จะยังมีปัญหาด้านคุณภาพอยู่บ้างแต่ก็มีข้อได้เปรียบที่ราคาถูกกว่าสินค้าจากประเทศอื่นอย่างมาก

องค์ประกอบแรกที่ผลักดันให้จีนก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าจากทั่วโลก จึงเป็นของรัฐบาลจีนที่แม้จะเป็นสังคมนิยมแต่ก็เอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งทำลายข้อจำกัดต่างๆ และเร่งขยายเมืองและสร้างเขตพิเศษทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก เพื่อผลักดันให้เกิดโรงงานอุตสาหกรรมรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ความอนุรักษ์นิยมของรัฐบาลจีน แม้จะทำให้ประชาชนไม่มีความสะดวกในบางเรื่องเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับอีกหลายๆ ประเทศ แต่ก็มีข้อดีที่นโยบายต่างๆ ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องจนทำให้เราเห็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในโครงการด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน 

เช่นสนามบิน ถนนหนทาง สะพานข้ามทะเล รถไฟความเร็วสูง ฯลฯ ที่ล้วนติดอันดับโลกมากมาย โดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงที่มีระยะทางรวมกันกว่า 43,700 กิโลเมตรมากเป็นอันดับ 1 ของโลกทิ้งห่างจากอันดับ 2 นับสิบเท่า

ในขณะที่ประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่มักต้องเผชิญกับความผันผวนในการดำเนินงานของรัฐบาลโดยเฉพาะเมื่อเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจจากการเลือกตั้งใหม่ รัฐบาลใหม่ก็มักจะยกเลิกโครงการของรัฐบาลเดิมทำให้แผนงานที่เคยวางไว้ต้องสะดุดหรือยกเลิกลงกลางคัน

แต่รัฐบาลที่ไม่ว่าจะเป็นสังคมนิยมหรือประชาธิปไตย ไม่ใช่สาเหตุสำคัญของการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของจีน เพราะผมเชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนมาถึงวันนี้ได้นั้นเป็นเพราะ “คน” ที่เห็นได้ชัด

เมื่อเรานึกถึงคนจีนเราจะนึกถึงภาพของคนที่ขยันทำมาหากิน มุมานะ ทำงานเต็มที่ไม่ท้อถอย ซึ่งผมเชื่อว่านี่แหละที่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด

...ยังมีอีกหลายมิติที่น่าสนใจ ติดตามต่อในสัปดาห์หน้าครับ