ครบรอบ 2 ปี ควบรวมทรู - ดีแทค สภาผู้บริโภคสับ 'กสทช.' เกียร์ว่าง ลอยแพประชาชน

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถึงบทบาทของ กสทช.ที่ไร้มาตรการกำกับดูแล ทำให้ตลาดโทรคมฯ ไทยเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ หลังการควบรวมของ ทรู - ดีแทค และ เอไอเอส - 3บีบี ที่โฆษณาว่าจะลดค่าบริการ - ยกระดับคุณภาพเครือข่าย แต่ความจริงค่าบริการพุ่งสูงขึ้น แพ็กเกจราคาถูกเริ่มหายวับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาผู้บริโภคองค์กรของผู้บริโภค เปิดเวทีสะท้อนปัญหาจัดเสวนา ควบรวมโทรคมนาคม : ผลประโยชน์หรือภาระของผู้บริโภค? เพื่อสะท้อนปัญหาที่แท้จริง พร้อมเสนอแนวทางแก้ไข หลังจากที่ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) ควบรวมเป็นบริษัทเดียวกันเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566
นายกัลป์ กรุยรุ่งโรจน์ นักวิจัยจาก 101 Public Policy Think Tank เปิดเผยข้อมูลจากการศึกษาว่า ก่อนการควบรวมค่าบริการโทรศัพท์มือถือมีแนวโน้มลดลง โดยในไตรมาสแรกของปี 2566 ค่าบริการเฉลี่ยต่อเลขหมายอยู่ที่ 240 บาท แต่หลังจากควบรวม ค่าบริการกลับเพิ่มขึ้นเป็น 205 – 222 บาท ในปี 2567
นอกจากนี้ แพ็กเกจราคาถูกที่เคยมีเริ่มหายไปเช่น
- แพ็กเกจรายเดือนของ ทรู เพิ่มจาก เกือบ 300 บาท เป็นเกือบ 500 บาท
- ดีแทค เพิ่มจาก 350 บาท เป็น 399 บาท
- เอไอเอส จาก 349 บาท เป็น 399 บาท
- แพ็กเกจซิมอินเทอร์เน็ตที่เคยขายประมาณ 100 บาท ปัจจุบันกลายเป็น ทรู 242 บาท, ดีแทค 191 บาท และ เอไอเอส 233 บาท
แม้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. จะกำหนดให้ลดค่าบริการลง 12% ภายใน 90 วันหลังการควบรวมหรือภายในมิถุนายน 2566 แต่กลับไม่มีการแสดงค่าเฉลี่ยราคาที่ชัดเจน และ แม้อ้างว่าสำนักงานจะมีการใช้สูตร Simple Average โดยเฉพาะการหารค่าเฉลี่ยของแต่ละแพ็กเกจ ซึ่งไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
"ผู้บริโภคเริ่มกังวลว่าอาจมีการลดจำนวนเสาสัญญาณในบางพื้นที่ ส่งผลให้เกิดปัญหาผู้ใช้บริการแย่งสัญญาณกัน โดย กสทช. มีระบบติดตาม เฝ้าระวัง ประเมินคุณภาพเป็นรายไตรมาสในแต่ละภูมิภาค แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าสามารถตรวจสอบผลกระทบได้จริงหรือไม่ "
กสทช. กับผู้บริโภค: อยู่คนละโลก
นายฉัตร คำแสง ผู้อำนวยการ 101 Public Policy Think Tank ตั้งคำถามว่า บทบาทของ กสทช. ขัดต่อเจตนารมณ์การคุ้มครองผู้บริโภคหรือไม่ เนื่องจากรายงานที่เผยแพร่เน้นแต่ผลประกอบการของบริษัท มากกว่าการสะท้อนปัญหาที่ประชาชนเผชิญ
โดยปัญหาคือ ผู้บริโภคไม่ได้รับผลกระทบในแบบเดียวกัน คนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ กลุ่มรายได้น้อย และผู้ใช้แบบเติมเงินที่ต้องเผชิญค่าบริการที่สูงขึ้น และถูกจำกัดทางเลือกมากขึ้น
อีกปัญหาหนึ่งคือ กลยุทธ์การผูกมัดผู้บริโภค เช่น การพ่วงบริการมือถือ และอินเทอร์เน็ตบ้านเข้าด้วยกัน ทำให้การเปลี่ยนค่ายเป็นเรื่องยาก
บทบาทของ กสทช. ถูกนิยามด้วย “3 ไม่” ได้แก่
1. ไม่ทันต่อปัญหา – ออกมาตรการช้า ไม่ตอบสนองต่อข้อร้องเรียน
2. ไม่ตรงกับความตั้งใจเดิม – มุ่งเน้นผลประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่าผู้บริโภค
3. ไม่พร้อมกำกับดูแลตั้งแต่แรก – มาตรการเยียวยาไม่สามารถบังคับใช้จริง
เอกชนรวยขึ้น แต่ผู้บริโภคจ่ายแพงขึ้น
นายพรเทพ เบญญาอภิกุล ผู้อำนวยการเศรษฐศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า การควบรวมช่วยลดต้นทุนบริษัท และเพิ่มอำนาจการกำหนดราคา ซึ่งเป็นข้อเสียต่อผู้บริโภค โดยงานศึกษาหลายฉบับพบว่าการควบรวมโทรคมนาคมมักส่งผลเสียต่อการแข่งขันแม้จะมีการกล่าวอ้างเรื่องนวัตกรรม แต่หลักฐานเชิงประจักษ์ยังมีไม่มาก
อีกทั้ง ยังชี้ว่าตลาดโทรคมนาคมของไทยมีลักษณะผูกขาดมากขึ้นเนื่องจากการแข่งขันลดลง ส่งผลให้โปรโมชันลดลงตามไปด้วย สำหรับแนวทางแก้ไข ได้แก่ การกำกับดูแลราคาที่เข้มงวดขึ้น การส่งเสริม MVNO (Mobile Virtual Network Operator) ให้มีการแข่งขันมากขึ้น และการจัดสรรคลื่นความถี่อย่างเป็นธรรม
รื้อควบรวม เพื่อคืนการแข่งขันให้ตลาด
นายกนกนัย ถาวรพาณิชย์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า กฎหมายการแข่งขันทางการค้าเปิดช่องให้หน่วยงานกำกับดูแลตรวจสอบ และห้ามการควบรวมได้แต่ กสทช. กลับเลือกที่จะไม่ใช้มาตรการดังกล่าว หากเป็นในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ และสหภาพยุโรป (EU) หากพบว่าการควบรวมกระทบการแข่งขัน หน่วยงานสามารถบังคับให้แยกธุรกิจคืนสู่ตลาดได้
แนวทางที่เสนอ ได้แก่ การเปิดทางให้ MVNO แข่งขันมากขึ้น สนับสนุน บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ เอ็นที ให้เป็นผู้เล่นรายใหม่ และบังคับใช้มาตรการเยียวยาที่เข้มงวดขึ้น
จี้คืนอำนาจตรวจสอบ กสทช. ให้ประชาชน
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ระบุว่า ปัจจุบัน ตลาดโทรคมนาคมขาดความโปร่งใส และการแข่งขันที่เป็นธรรม ดังนั้น กสทช. ควรถูกตรวจสอบจากภาคประชาชนมากขึ้นแต่กฎหมายปี 2562 จำกัดสิทธิของประชาชนในการถอดถอนกรรมการ กสทช. ทำให้การเรียกร้องความรับผิดชอบทำได้ยาก
“สภาผู้บริโภคเรียกร้องให้มีการตรวจสอบความโปร่งใสของบอร์ด กสทช.ทั้งการควบรวมทรู - ดีแทค และเอไอเอส -3บีบี ที่อาจเข้าข่ายเอื้อประโยชน์ต่อเอกชน”
ประชาชนต้องลุกขึ้นสู้ เมื่อรัฐไร้แผนรองรับ
นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสารฯ สภาผู้บริโภค ชี้ว่า เมื่อหน่วยงานรัฐอย่าง กสทช.ขาดความโปร่งใส และกลไกตรวจสอบอ่อนแอ ภาคประชาชนต้องลุกขึ้นมาตรวจสอบ และเรียกร้องการปฏิรูปเพื่อรักษาความเป็นธรรมในระบบโทรคมนาคม
การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับ กสทช. อาจกระทบการคัดเลือกกรรมการ และลดประสิทธิภาพการกำกับดูแล ขณะเดียวกัน นางสาวพิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ซึ่งคัดค้านการควบรวม กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก หากเสียงของกรรมการที่คุ้มครองผู้บริโภคถูกทำให้เงียบลง การกำกับดูแลที่เป็นธรรมก็จะลดลงไปอีก
เธอกล่าวว่า ภาคประชาชนเตรียมยื่นหนังสือเรียกร้องให้ตรวจสอบ กสทช.และผลักดันให้รัฐบาลแสดงจุดยืนต่ออนาคตอุตสาหกรรมโทรคมนาคม หากไม่มีมาตรการที่ชัดเจน ตลาดโทรคมนาคมอาจกลายเป็นการผูกขาด และผู้บริโภคต้องแบกรับภาระจากการกำกับดูแลที่ล้มเหลว
การควบรวมทรู-ดีแทค และ การควบรวมเอไอเอส-3บีบี ทำให้ตลาดโทรคมนาคมไทยกลายเป็นตลาดกระจุกตัว ผู้ให้บริการรายใหญ่มีอำนาจกำหนดราคา และผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง
ดังนั้น หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า การแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมไทยอาจถึงทางตัน และสุดท้ายผู้บริโภคจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากที่สุด
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์