โซเชียลมีเดียกับเวลาชีวิต

โซเชียลมีเดียกับเวลาชีวิต

สภาพแวดล้อมในการทำงานทุกวันนี้มีผลให้สมาธิในการทำงานลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีต

โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่จะมีโซเชียลมีเดียที่เราสามารถใช้เวลาในการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปกับสื่อโซเชียลมากเท่าทุกวันนี้

น่าแปลกที่การมาถึงของสื่อออนไลน์ที่เชื่อมโยงตัวเราเข้ากับทุกคนบนโลกไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไหนน่าจะทำให้เรามีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น

แต่กลับกลายเป็นว่าเราต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบมากขึ้น เพราะเรามักจะตอบสนองต่อสื่อออนไลน์เหล่านี้ทันทีและตลอดเวลาไม่ว่าจะทำงานอยู่ หรือประชุม รวมถึงใช้เวลาอยู่กับครอบครัวก็ตาม

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วสื่อต่างๆ เหล่านั้นไม่จำเป็นต้องตอบสนองแบบทันทีทันใด ข้อความออนไลน์ส่วนมากสามารถตอบกลับได้ในชั่วโมงถัดไป หรือบางครั้งไปตอบในวันรุ่งขึ้นก็ไม่มีอะไรเสียหาย แต่เราเคยชินกับการตอบสนองแบบทันทีไม่ว่าจะทำอะไรอยู่

ผลก็คือสถิติการเกิดอุบัติเหตุเพราะการใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้มือถือขณะขับรถ หรือเดินข้ามถนน ฯลฯ รวมถึงการใช้มือถือในที่ทำงานที่ทำให้ต้องเสียสมาธิจากการประชุมสำคัญหรือจากการเจรจาต่อรองกับผู้อื่น

ที่สำคัญคือมันทำให้เราต้องยุ่งวุ่นวายกับเรื่องต่างๆ มากมาย จนมีเรื่องให้ทำตลอดทั้งวัน แต่งานที่ทำไปทั้งหมดนั้นไม่ได้ทำให้ส่งผลให้เราบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้เลย เพราะล้วนเป็นงานเฉพาะหน้าหรืองานเฉพาะกิจ

โทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดียเป็นตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่เข้ามาดึงสมาธิไปจากเราจนทำให้เสียเวลาไปกับงานที่ไม่ก่อให้เกิดการบรรลุเป้าหมาย เพราะไม่ว่าจะงานจะยุ่งแค่ไหนแต่เราก็ควรมีเป้าหมายที่เราต้องการเอาชนะให้ได้

เพราะคนธรรมดาทั่วไปล้วนมีขีดจำกัดทั้งกายและใจ ซึ่งต้องใช้ควบคู่กันไปเสมอ การทำงานอย่างเต็มที่ย่อมทำให้เราเสียพลังกายและพลังใจจึงต้องหาทางชาร์จพลังให้ตัวเองอยู่เป็นระยะๆ การพักผ่อนในแต่ละวันให้เพียงพอจึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่นเดียวกับการหยุดทำงานในวันเสาร์และอาทิตย์เพื่อผ่อนคลายจากงานที่ทำในแต่ละสัปดาห์

การใช้ชีวิตของเราจึงจำเป็นต้องทบทวนเป้าหมายในแต่ละวันเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่หลงทำอะไรที่ทำให้เราห่างไกลจากเป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว เพราะโลกการแข่งขันทุกวันนี้ทำให้เวลาเดินเร็วขึ้นด้วยข้อมูลข่าวสารที่เพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีตหลายเท่า จึงทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูวุ่นวายไปหมด

เอาแค่ 2 เดือนแรกของปีนี้ก็เกิดเรื่องราวมากมายที่เราคิดไม่ถึง ซึ่งทั้งหมดนั้นทำให้การแข่งขันในทางธุรกิจรุนแรงมากขึ้น ทำให้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นมามากมาย ทำให้เราต้องเรียนรู้ทุกอย่างใหม่หมดเพื่อรองรับงานที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต

ไม่น่าแปลกใจอะไรที่คนรุ่นใหม่มักจะบ่นว่าตัวเอง “หมดพลัง” เพราะรู้สึกว่าใช้พลังงานไปมากมายกับหลายๆ เรื่อง แต่ผลที่ได้นั้นกลับไม่คุ้มค่าเพราะอาจใช้เวลาและพลังงานไปกับเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์

ต่อเป้าหมายของตัวเองนัก

เพราะหลายคนอาจเสียสมาธิและพลังงานไปกับการใช้โซเชียลมีเดีย บางคนก็อาจใช้เวลาไปกับการซื้อของออนไลน์ เช่นการเก็บโค้ดหรือเก็บคอยน์ในเว็บอีคอมเมิร์ซทั้งวันทั้งคืนทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดจะซื้ออะไรเป็นพิเศษแต่เป็นเพราะกลัวตกเทรนด์

เช่นเดียวกับคนที่นิยมสั่งอาหารออนไลน์ร้านดัง เพราะเห็นคะแนนรีวิวมากมายจึงยอมสั่งมาลองทั้งๆ ที่ร้านอยู่ไกลแสนไกล ก่อนจะพบว่ามีรสชาติไม่ต่างจากร้านที่อยู่ใกล้ๆ บ้านเลย ซึ่งทั้งหมดนั้นทำให้เราต้องใช้เวลาหาข้อมูลหรืออ่านรีวิวเป็นจำนวนมากกว่าจะได้สั่งซื้อ

การหยุดตัวเองจากเรื่องวุ่นวายเหล่านี้และทบทวนว่าอะไรที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเรา และเราควรต้องทำอย่างไรเพื่อไปถึงเป้าหมายดังกล่าวได้จึงเป็นเรื่องสำคัญและต้องขบคิดอยู่เป็นประจำ