ลิขสิทธิ์งานเป็นของใครเมื่อ AI เป็นผู้สร้างสรรค์ | สลิลธร ทองมีนสุข
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถเรียนรู้และสร้างสรรค์ผลงานหลากหลายรูปแบบ ในอนาคตอันใกล้การสร้างงานโดยใช้ AI จะมีนัยสำคัญอย่างมากสำหรับพัฒนาการของกฎหมายลิขสิทธิ์
โดยหลักแล้วลิขสิทธิ์คุ้มครองการแสดงออกทางความคิดของผู้ที่สร้างสรรค์งานต้นฉบับขึ้นด้วยตนเอง (originality) โดยต้องมีการใช้แรงงาน (Labor) ทักษะ (Skill) และกระบวนการตัดสินใจ (Judgment) และความพยายาม (effort) ของผู้สร้างสรรค์ผลงาน
จนกระทั่งออกมาเป็นงานศิลป์ งานเพลง หรืองานวรรณกรรมต่าง ๆ และการคุ้มครองลิขสิทธิ์ยังเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ให้รางวัลตอบแทนความคิดสร้างสรรค์ กระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ออกมาสู่สังคมอีกด้วย
แต่เดิมความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไม่เป็นปัญหา เพราะเดิมโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนกระบวนการสร้างสรรค์ ในทำนองเดียวกับปากกา กระดาษ หรือผืนผ้าใบ
ซึ่งงานสร้างสรรค์มีสิทธิ์ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์หากเป็นงานต้นฉบับ โดยประเทศต่างๆทั่วโลก ส่วนมากเห็นว่า ผลงานที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์เท่านั้นจะได้รับความคุ้มครอง
อย่างไรก็ดีความก้าวหน้าของ AI ที่สามารถตัดสินใจได้เอง โดยอาศัยเทคโนโลยี machine learning ในกระบวนการสร้างสรรค์ โดยปราศจากการแทรกแซงของมนุษย์และเป็นอิสระตลอดกระบวนการ หรืออาจอาศัยการป้อนคำสั่งโดยมนุษย์เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่น Midjourney
แต่สามารถใช้วิจารณญาณในการสร้างผลงานได้ด้วยตนเอง ในระยะหลัง AI จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือของมนุษย์ในการสร้างผลงานอีกต่อไป แต่สามารถตัดสินใจและสร้างสรรค์ผลงานได้ด้วยตัวเอง
ปัจจุบันนี้มีการใช้ AI สร้างผลงานหลากหลายรูปแบบในลักษณะของงานที่กฎหมายรับรองให้มีการคุ้มครองลิขสิทธิ์ได้ ทั้งวรรณกรรม ดนตรีกรรม และงานศิลปกรรมต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น แอปพลิเคชั่น Midjourney ที่เพียงแค่ผู้ใช้งานป้อนคำที่ต้องการ Algorithm จะสร้างสรรค์ภาพศิลปะออกมาจาก AI ที่ได้เรียนรู้รูปวาดนับพัน
หรือก่อนหน้านี้ในปี 2016 ในประเทศเนเธอร์แลนด์ กลุ่มพิพิธภัณฑ์และนักวิจัยได้ทำการเปิดเผยภาพที่มีชื่อว่า The Next Rembrandt ซึ่งเป็นงานศิลปะชิ้นใหม่ที่สร้างขึ้นโดย AI ที่วิเคราะห์ผลงานหลายพันชิ้นที่สร้างขึ้นโดย Rembrandt Harmenszoon van Rijn ศิลปินชาวเนเธอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 17
นอกจากนี้ Deep Mind บริษัทของ Google ก็ได้สร้างซอฟต์แวร์ที่สามารถสร้างเพลงขึ้นมาใหม่โดยอาศัยการเรียนรู้จากเสียงเพลงต่าง ๆ ที่ถูกบันทึกไว้
ตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นของการสร้างสรรค์ผลงานโดย AI ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ภายใต้ระบบกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่ถือว่า AI เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงาน เนื่องจากตามหลักลิขสิทธิ์ได้ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เป็นรางวัลแก่ทักษะ แรงงาน และกระบวนการตัดสินใจ
แม้ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายของประเทศใดห้ามการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานที่สร้างโดย AI ไว้ชัดเจน แต่หลาย ๆ ประเทศ เช่น Copyright office ของประเทศอเมริกาได้มีการปฏิเสธความคุ้มครองลิขสิทธิ์แก่ผลงานที่ถูกสร้างโดย AI เนื่องจาก ขาดองค์ประกอบของ “การถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์” (Human Authorship)
ซึ่งก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับคดี Feist Publications v Rural Telephone Service Company ที่ศาลได้วางหลักว่าลิขสิทธิ์นั้นจะคุ้มครองเฉพาะ "ผลของแรงงานทางปัญญา (Fruits of Intellectual Labor)" ที่ "สร้างสรรค์ขึ้นโดยจิตใจของมนุษย์ (Creative power of mind)"
ในสหภาพยุโรป The European Court of Justice วางหลักการว่าการสร้างสรรค์ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ต้องสะท้อนถึง “การสร้างสรรค์ทางปัญญา” และบุคลิกของผู้สร้างสรรค์ ซึ่งหมายความว่าความเป็นมนุษย์นั้นมีความจำเป็นต่อการได้รับความคุ้มครองสิทธิ
ด้วยเหตุนี้ หลายประเทศจึงยังคงเห็นว่าลิขสิทธิ์ควรมุ่งปกป้องความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ไม่ใช่ความคิดสร้างสรรค์ของ AI ดังนั้นงานที่สร้างขึ้นโดย AI และอาจแข่งขันกับงานที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ควรได้รับความคุ้มครอง
คำถามที่ตามมาคือมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมอบความคุ้มครองให้กับโปรแกรมเมอร์ผู้พัฒนา AI แต่เดิมในยุคอนาล็อก ถ้าเกิดคำถามว่าในงานประพันธ์ควรให้ความคุ้มครองแก่ผู้ผลิตปากกาหรือผู้เขียน
แน่นอนว่าผู้ที่ได้รับความคุ้มครองก็คือผู้เขียน หรือแม้แต่ในยุคดิจิทัลถ้ามีการใช้โปรแกรมวาดภาพขึ้นมา ผู้ที่ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ในภาพก็คือผู้ที่สร้างสรรค์ภาพจากโปรแกรมไม่ใช่ผู้พัฒนาโปรแกรม
บางประเทศตรากฎหมายยอมรับให้ผู้พัฒนา AI ได้รับความคุ้มครองในฐานะผู้สร้างสรรค์ เช่น นิวซีแลนด์ อินเดีย และสหราชอาณาจักร โดยในมาตรา 9(3) ของลิขสิทธิ์ของสหราชอาณาจักร วางหลักว่า
“ในกรณีงานวรรณกรรม นาฏกรรม ดนตรีกรรม หรือศิลปกรรมที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ ให้ถือว่าผู้สร้างสรรค์คือผู้ดำเนินการจัดเตรียมที่จำเป็นสำหรับการสร้างสรรค์ผลงาน”
การปกป้องงานที่สร้างโดย AI อาจเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล หากจูงใจให้เกิดการลงทุนใน AI โดยมีข้อสังเกตว่าประเทศที่มีการพัฒนาบทบัญญัติเหล่านี้โดยมากเป็นประเทศที่พยายามผลักดันนโยบายให้ประเทศเป็นศูนย์กลางระดับโลกด้าน AI และศูนย์กลางของนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-driven innovation)
ในปี 2019 สมาคมระหว่างประเทศเพื่อการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (AIPPI) ได้สอบถามความเห็นประเทศสมาชิกว่างานที่สร้างโดย AI ควรได้รับการคุ้มครองหรือไม่
คำตอบที่ได้รับแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเห็นว่างานที่สร้างโดย AI สามารถได้รับการคุ้มครองโดยควรมีระยะเวลาความคุ้มครอง 25 ปี เพื่อตอบแทนนักลงทุนและนักพัฒนา AI กลุ่มที่ 2 แย้งว่าการคุ้มครองลิขสิทธิ์ควรเป็นผลมาจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์เท่านั้น
มติของ AIPPI Resolution ในประเด็นนี้ยังบ่งชี้ว่า การแทรกแซงของมนุษย์และความคิดริเริ่มของมนุษย์ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการได้รับความคุ้มครอง
แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีบทสรุปในระดับสากลว่าจะมีการคุ้มครองลิขสิทธิ์งานที่สร้างขึ้นโดย AI ในแนวทางใด แต่การไม่มีระบบกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองงานที่สร้างสรรค์โดย AI เลยอาจสร้างส่งผลกระทบในเชิงพาณิชย์ได้
เนื่องจากหากไม่มีการคุ้มครองผลงานเหล่านี้ก็จะถือว่าเป็นผลงานไม่มีลิขสิทธิ์ ทุกคนสามารถใช้และทำซ้ำได้อย่างอิสระ ซึ่งอาจไม่ได้ส่งผลดีนักสำหรับบริษัทที่ลงทุนสร้าง AI ที่อาจใช้เงินลงทุนในสิ่งต่างๆ ที่ใช้สร้างสรรค์ผลงาน
เช่น AI อาจแต่งเพลงที่อาจมีความเป็นต้นฉบับ แต่เพลงนั้นกลับถูกคนทั่วไปนำไปทำซ้ำได้อย่างไม่มีข้อจำกัด
ในอนาคตประเทศต่างๆ คงต้องหาทางออกร่วมกันเพื่อรองรับงานสร้างสรรค์เหล่านี้ โดยต้องประเมินว่าระบบใดจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทางเศรษฐกิจและสร้างแรงจูงใจที่จะทำให้คนมาลงทุนในระบบอัตโนมัติ
ขณะเดียวกันควรต้องชั่งน้ำหนักกับความสามารถในการเข้าถึงงานที่สร้างสรรค์ด้วย AI ของผู้ใช้แอปพลิเคชั่นและคนทั่วไปด้วย เพราะการส่งเสริมให้คนใช้ AI สร้างสรรค์งานต่างๆ มากขึ้นยังมีความสำคัญเพื่อประหยัดทั้งต้นทุนด้านเวลาและแรงงาน ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้ โจทย์เรื่องลิขสิทธิ์ยังมีอีกความท้าทายสำคัญ คือ ความยากในการแยกให้ออกระหว่าง ผลงานโดยมนุษย์ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ กับ ผลงานที่สร้างโดย AI ซึ่งมีผลต่อการพิจารณาว่าใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์ ในอนาคตจึงต้องหาแนวทางและใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบปัญหานี้ด้วย.