DHL มุ่งเป็นผู้นำกรีนโลจิสติกส์ ทุ่มงบ 7 พันล้านยูโร หนุน Net Zero ปี 2050

เยเลน่า เครเมนยาส ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายความยั่งยืน ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย กล่าวว่า ดอยช์ โพสต์ ดีเอชแอล กรุ๊ป วางแผนการลงทุน 7 พันล้านยูโร หรือ 2.5 แสนล้านบาท สำหรับการลงทุนในช่วง 10 ปีข้างหน้าเพื่อสนับสนุนมาตรการ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเดินหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายเน็ตซีโร่ในปี 2050 โดยจะแบ่งเป็นการลงทุนในเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับอากาศยาน (Sustainable Aviation Fuels : SAF) รถขนส่งพลังไฟฟ้า (EV Fleet) และอาคารไร้มลพิษ

ทั้งนี้ ดอยช์ โพสต์ ดีเอชแอล กรุ๊ป ได้ประกาศจุดยืนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องตามเป้าหมายความตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยวางโรดแมปลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของกลุ่มบริษัทให้ต่ำกว่า 29 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2030 ขณะเดียวกัน ยังคงขยายการเติบโตของการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ทั่วโลกอย่างแข็งแกร่ง

"สำหรับดีเอชแอล ซัพพลายเชน ในประเทศไทย ซึ่งให้บริการขนส่งทางถนนเป็นหลัก การลงทุนเพื่อความยั่งยืนจะโฟกัสไปที่การใช้พลังงานสะอาดและเชื้อเพลิงทางเลือกเพื่อให้แน่ใจว่าการขนส่งของเราจะลดการปล่อยมลพิษตั้งแต่ต้นทาง"

นอกจากนี้ หนึ่งในกลไกสำคัญที่จะทำให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนได้นั้นคือ การเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะด้านการจัดการพลังงาน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ดีเอชแอล หันมาใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ระบบมาตรวัดอัจฉริยะ และการเชื่อมต่อ IOT เพื่อให้องค์กรสามารถเก็บข้อมูลการดำเนินงานที่เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์และคาดการณ์การใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

"อย่างไรก็ตาม คอนเซ็ปต์ของการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกและการเข้าถึงแหล่งพลังงานสะอาดในประเทศไทยยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในตลาดมากนัก โดยดีเอชแอลยังคงมุ่งมั่นในการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ร่วมกับลูกค้าและซัพพลายเออร์เพื่อร่วมกันผลักดันโรดแมป ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นศูนย์ และมุ่งที่จะนำเสนอเทคโนโลยีที่ได้ผลลัพธ์และตอบโจทย์ผู้บริโภคเพื่อก้าวสู่เป้าหมายความยั่งยืนไปด้วยกัน"

ปัจจุบันหลายองค์กรต่างประกาศการมุ่งเป้าสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ โดยตั้งเป้าหมายบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในขั้นตอนการดำเนินงานหรือกระบวนการผลิต (สโคป 1) อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้วก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนใหญ่ที่ถูกปล่อยออกมาขององค์กรต่างๆ นั้นจะเกิดขึ้นใน (สโคป 3) หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากกระบวนการ โลจิสติกส์ และซัพพลายเชน

"ดีเอชแอล ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมโลจิสติกส์สีเขียวจึงไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาการบริการเพื่อความยั่งยืน ทั้งพลังงานสะอาด เชื้อเพลิงทางเลือก และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะทำให้พาร์ทเนอร์และคู่ค้าของเราบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนได้ในระยะยาว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายรวมทั้งผู้บริโภคปลายทาง"

เยเลน่า กล่าวถึงเทรนด์ความยั่งยืนในระยะข้างหน้าว่า ทุกองค์กรกำลังก้าวไปสู่เป้าหมายเดียวกัน โดยเครื่องมือและเครื่องจักรต่างๆ จะเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานหลักซึ่งเป็นพลังงานที่ปล่อยมลพิษน้อยที่สุด ซึ่งหมายความว่าความต้องการพลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มมากขึ้น ประเทศไทยจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับโครงสร้างพลังงาน อาทิ ระบบไมโครกริด การศึกษาพลังงานและเชื้อเพลิงใหม่ๆ เช่น ไฮโดรเจน ซึ่งจะเป็นพลังงานที่มีความมั่นคงกว่าในการผลิตไฟฟ้า รวมทั้งการออกมาตรการเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานของแหล่งพลังงานสะอาดให้เพียงพอต่อการความต้องการใช้ในอนาคต

สเตฟาน นูสส์ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย เมียนมา และลาว ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า การร่วมกันต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ และสร้างความยั่งยืน นับว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจในปัจจุบัน และเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันในทุกระดับ ทุกองค์กรไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ จะเป็นองค์กรขนาดกลางและขนาดย่อม หรือสถาบันต่างๆ เราก็สามารถมาร่วมแบ่งปันเรื่องราวด้านความยั่งยืนร่วมกัน เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดกระแสและการปฏิบัติไปสู่ความยั่งยืนของโลกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

"เราได้รับการตอบรับที่ดีจากองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ในการมาร่วมเล่าถึง เป้าหมายด้านความยั่นยืนและวิธีดำเนินการขององค์กรนั้นๆ ในโครงการ Green Heroes for Life ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่แต่ละองค์กรมาร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์และความเป็นผู้นำในการก้าวสู่องค์กรที่ยั่งยืน" สเตฟาน กล่าว

มาร่วมเป็น Green Heroes for Life ด้วยกัน เพื่อสร้างองค์กรที่ยั่งยืน และเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย Net Zero ในอนาคตร่วมกัน สนใจเข้าร่วม คลิกที่นี่