ดาวโจนส์วูบ 880 จุดผวาเฟดขึ้นดบ.แรงกว่าคาดในสัปดาห์หน้า
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันศุกร์ (10มิ.ย.)ปรับตัวลง 880 จุด หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สูงเกินคาด ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้าเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ การซื้อขายในตลาดยังได้รับผลกระทบ หลังผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดิ่งลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 880 จุด หรือ 2.73% ปิดที่ 31,392.79 จุด
ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 2.91% ปิดที่ 3,900.86 จุด
ดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 3.52% ปิดที่ 11,340.02 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 1.9% นับตั้งแต่ต้นสัปดาห์ และมีแนวโน้มปรับตัวลง 10 ใน 11 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และดัชนีแนสแด็กดิ่งลงมากกว่า 2% นับตั้งแต่ต้นสัปดาห์ และมีแนวโน้มปรับตัวลง 9 ใน 10 สัปดาห์ที่ผ่านมา
หุ้นทุกกลุ่มในตลาดร่วงลงในวันนี้ ไม่เว้นแม้แต่หุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งมักได้รับอานิสงส์จากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นเหนือระดับ 3.1% ของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีในวันนี้
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
นักวิเคราะห์จากธนาคารบาร์เคลยส์ระบุว่า เฟดมีเหตุผลที่ดีที่จะสร้างความประหลาดใจต่อตลาดในสัปดาห์หน้าด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่คาดไว้ หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในวันนี้
ก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยดัชนี CPI ประจำเดือนพ.ค.ในวันนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค.
อย่างไรก็ดี ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 20% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันที่ 14-15 มิ.ย. เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 5% เมื่อวานนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 50% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันที่ 26-27 ก.ค. เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 19% เมื่อวานนี้
ก่อนหน้านี้ เฟดได้เริ่มต้นวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนมี.ค. ก่อนที่จะปรับขึ้น 0.50% ในเดือนพ.ค. ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค.
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 8.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบกว่า 40 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2524 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.3%
ดัชนี CPI ดังกล่าวสูงกว่าระดับ 8.3% ในเดือนเม.ย. และสูงกว่าระดับ 8.5% ที่ทำไว้ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2524
นอกจากนี้ ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.7%
ขณะเดียวกัน ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 6.0% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.9%
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐานดีดตัวขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.5%
ส่วนผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดิ่งลงสู่ระดับ 50.2 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในช่วงทศวรรษ 1940 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 58.5 หลังจากแตะระดับ 58.4 ในเดือนพ.ค.
ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคตต่างปรับตัวลง
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค 500 รายต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ สถานะการเงินส่วนบุคคล, ภาวะเงินเฟ้อ, การว่างงาน, อัตราดอกเบี้ย และนโยบายรัฐบาล