ดาวโจนส์ร่วง 151 จุดหวั่นเฟดขึ้นดอกเบี้ยแรงฉุดเศรษฐกิจถดถอย
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(14มิ.ย.)ร่วงลง 151 จุด ขณะที่นักลงทุนวิตกว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวร่วงลง 151.91 จุด หรือ 0.50% ปิดที่ 30,364.83 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลง 14.15 จุด หรือ 0.38% ปิดที่ 3,735.48 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 19.12 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 10,828.35 จุด
บรรดานักวิเคราะห์คาดหมายกันเป็นส่วนใหญ่ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% แต่มุมมองเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการปรับขึ้น 0.75% เริ่มมีมากขึ้น หลังดัชนีราคาผู้บริโภคอยู่ในระดับสูงเกินคาดหมาย
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มการประชุมนโยบายการเงินเป็นเวลา 2 วันในวันนี้ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 4 ของปีนี้ ท่ามกลางปัจจัยท้าทายจากเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในสหรัฐ
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมรอบนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2537 เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจนเข้าใกล้ระดับ 4% ในปี 2566 จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 0.75-1.00%
เฟดเริ่มต้นวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนมี.ค. ก่อนที่จะปรับขึ้น 0.50% ในเดือนพ.ค. ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค.
อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 8.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 40 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2524 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.3%
นายแจน แฮตซิอุซ หัวหน้านักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ระบุในรายงานว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมรอบนี้ และจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนก.ค.
นอกจากนี้ นายแฮตซิอุซคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนก.ย. ก่อนที่จะปรับขึ้นเพียง 0.25% ในเดือนพ.ย.และธ.ค.
รายงานระบุว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจนแตะระดับ 3.25-3.50% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 0.75-1.00%
การซื้อขายในตลาดถูกกดดันในวันนี้ เนื่องจากตลาดพันธบัตรสหรัฐยังคงเกิดภาวะ inverted yield curve ต่อเนื่องจากวานนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวเหนือพันธบัตรระยะยาว ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ที่ผ่านมา ภาวะ inverted yield curve มักเกิดขึ้นจากการที่นักลงทุนพากันเทขายพันธบัตรระยะสั้น และเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาว ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะได้รับผลกระทบจากการที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ก่อนหน้านี้ เหตุการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 5 ปีพุ่งขึ้นสูงกว่าพันธบัตรอายุ 30 ปีได้เกิดขึ้นในปี 2549 ก่อนที่จะเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในเวลาเพียงไม่กี่ปีถัดมา
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต เพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI ดีดตัวขึ้น 10.8% ในเดือนพ.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 11.0% ในเดือนเม.ย.
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.5% เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.6% หลังจากปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 6.8% หลังจากดีดตัวขึ้น 6.8% เช่นกันในเดือนเม.ย.