‘น้ำท่วมหนัก-คลื่นความร้อน’สัญญาณเตือนภาวะโลกร้อน

สหรัฐปิดอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ซึ่งมีเนื้อที่ 5.5 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในรัฐไวโอมิง รัฐมอนทานา และรัฐไอดาโอ ไปจนถึงวันพุธ(15มิ.ย.)ตามเวลาท้องถิ่น หลังฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่และหินถล่มลงมาจนสร้างความเสียหายแก่ถนน สะพาน และระบบไฟฟ้า

อุทยานแห่งนี้ต้องปิดในช่วงฤดูร้อนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดไฟป่าหลายครั้งในปี 2531และเจ้าหน้าที่อุทยานกำลังเร่งค้นหานักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ที่ยังติดค้างอยู่ตามจุดต่าง ๆ ภายในอุทยาน โดยเฉพาะทางตอนเหนือของอุทยานได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากภัยพิบัติ

สำนักงานอุทยานแห่งชาติของสหรัฐ ได้เผยแพร่ภาพถ่ายจากมุมสูงที่ทำให้เห็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากในแม่น้ำการ์ดเนอร์ ทำให้ถนนเชื่อมระหว่างชุมชนการ์ดเนอร์และสำนักงานอุทยานเยลโลว์สโตนในละแวกบ่อน้ำพุร้อนแมมมอธในรัฐไวโอมิงถูกตัดขาด

นอกจากนี้ สำนักงานอุทยานแห่งชาติของสหรัฐ ยังประเมินเบื้องต้นว่า มีถนนหลายสายถูกตัดขาดเพราะกระแสน้ำเชี่ยวกราก หินและโคลนถล่มทับ รวมทั้งสะพานจำนวนมากได้รับความเสียหาย โดยน้ำท่วมและหินถล่มเกิดขึ้นหลังมีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน และปริมาณฝนและระดับน้ำท่วมในอุทยานสูงเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ส่วนระดับน้ำในแม่น้ำเยลโลว์สโตนทำสถิติสูงสุดถึง 4.2 เมตรเมื่อวันจันทร์(13มิ.ย.) สูงกว่า 3.5 เมตรในปี 2461

สภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นกะทันหันในช่วงฤดูร้อนในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ทำให้หิมะที่สะสมบนพื้นที่สูงภายในอุทยานจากช่วงปลายฤดูหนาวที่ยาวนานละลายและไหลบ่าลงมา
 

ภัยพิบัติครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงสองสัปดาห์หลังวันหยุดเมมโมเรียล เดย์เมื่อปลายเดือน พ.ค. ที่เป็นช่วงเริ่มต้นของการท่องเที่ยวในฤดูร้อน และในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวไปพักผ่อนที่อุทยานเยลโลว์สโตนประมาณ 4 ล้านคน

อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ถือเป็นอุทยานแห่งชาติที่แรกของโลกและของสหรัฐ ได้รับการก่อตั้งอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ปี2415 หรือเมื่อ 150 ปีที่แล้ว ในสมัยประธานาธิบดียูลิสซีส แกรนต์ มีอาณาเขตมากกว่า 2 ล้านเอเคอร์

องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ขึ้นทะเบียนรับรองอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เมื่อปี 2522

น้ำท่วมอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐมีขึ้นหลังจากสเปนเจอผลพวงจากสภาพอากาศโลกเปลี่ยนแปลงด้วยเหมือนกัน แต่เป็นคลื่นความร้อน ที่ทำให้อุณหภูมิในประเทศทะยานสูงถึง 40 องศา ถือว่าร้อนที่สุดในรอบ 20 ปี 

ทั้งนี้ อุณหภูมิที่หุบเขากวาดัลกิบีร์ และเมืองกอร์โดบาในภาคใต้ของประเทศวัดได้ถึง 40 องศาเซลเซียส และบางพื้นที่ในภาคใต้วัดอุณหภูมิได้ถึง 43 องศาเซลเซียส

สภาพอากาศในสเปนเป็นผลมาจากมวลอากาศร้อนจากแอฟริกาเหนือแผ่ปกคลุมไปถึงทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น และคลื่นความร้อนอาจแผ่ปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของสเปนจนถึงวันที่ 15 มิ.ย. ก่อนฤดูร้อนจะเริ่มขึ้นในวันที่ 21 มิ.ย. แต่คาดว่าจะมีลมแรงและพายุได้ในบางพื้นที่ของประเทศ

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของสเปน ออกประกาศเตือนว่า สเปนจะเผชิญคลื่นความร้อนที่มาเร็วขึ้น และบ่อยครั้งขึ้นด้วย และฤดูร้อนในช่วงไม่กี่ปีนี้ยังเริ่มขึ้นเร็วกว่าเมื่อ 50 ปีก่อนประมาณ 20-40 วัน

เมื่อปีที่แล้ว สเปนเผชิญสภาพอากาศร้อนจัดและแห้งแล้งที่สุด วัดอุณหภูมิได้ 47.4 องศาเซลเซียสที่เมืองมอนโตโร ในจังหวัดกอร์โดบา และเป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ยเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน และมีแนวโน้มว่าจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ

คลื่นความร้อนในสเปนเกิดขึ้นหลังจากฤดูร้อนในประเทศอินเดียช่วงเดือนพ.ค.ก็เจอคลื่นความร้อนอันหนักหน่วง ไม่แพ้กัน โดยอุณหภูมิในภาคเหนือของอินเดียแตะที่ 49 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิในกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดียก็ทุบสถิติสูงสุดถึง 49.2 องศาเซลเซียส