รับมือฉลามบุกชายฝั่งตะวันออกสหรัฐ

รับมือฉลามบุกชายฝั่งตะวันออกสหรัฐ

การไปเที่ยวชายหาดฝั่งตะวันออกของสหรัฐในฤดูร้อนนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้นอกเหนือจากโลชั่นกันแดดและโลชั่นไล่แมลงแล้วยังมีแอพพลิเคชัน Sharktivity เพิ่มเข้ามาด้วยเพราะการประจันหน้ากันระหว่างคนกับฉลามเพิ่มมากขึ้น

สถานการณ์ดังกล่าวดูเหมือนเป็นเรื่องตลกร้าย ผู้เชี่ยวชาญกล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า ความสำเร็จในการอนุรักษ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์อาจอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ อีกทั้งยังอาจเชื่อมโยงกับสภาพภูมิอากาศที่เหยื่อของสัตว์นักล่าเคลื่อนเข้าสู่น่านน้ำใหม่

ทุกฤดูร้อนสัตว์ใหญ่สีขาวเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่งแอตแลนติกของสหรัฐ มุ่งหน้าสู่นิวอิงแลนด์ จำนวนพุ่งสูงสุดระหว่างเดือน ส.ค.-ต.ค.

“ประชากรฉลามเพิ่มขึ้นโดยทั่วไป เราคิดว่าประชากรฟื้นตัวหลังได้รับการปกป้อง” เกรกอรี สโคมาล นักวิทยาศาสตร์การประมงอาวุโส รัฐแมสซาชูเซตส์ กล่าวกับเอเอฟพี

การติดตามฉลามราว 300 ตัวช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่า ทุกปีจะมีฉลามราว 100 ตัวผ่านน่านน้ำรอบเคปค้อด คาบสมุทรทางตะวันออกสุดของรัฐแมสซาชูเซตส์ ภาพยนตร์ดัง “Jaws” ถ่ายทำในภูมิภาคนี้ ฉลามเป็นตัวดึงดูดการท่องเที่ยวที่สำคัญ ภาพฉลามปรากฏอยู่บนหมวกเบสบอลและเสื้อยืดพบเห็นได้ทั่วไป อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันปีนี้ชายหาดหลายแห่งถูกปิดชั่วคราวไปเรียบร้อยแล้ว หลังมีการยืนยันว่าเห็นฉลามป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ชายฝั่ง

เหตุผลสำคัญประการหนึ่งคือ แมวน้ำ เหยื่อหลักของฉลามก็เพิ่มจำนวนขึ้นด้วยผลจากการอนุรักษ์

“หากฉลามหากินใกล้พื้นดินมากขึ้น และคนออกไปว่ายน้ำมากขึ้น โอกาสที่จะมีปฏิกริยาด้านลบต่อกันก็เพิ่มขึ้น” สโคมาลกล่าว

ด้วยเหตุนี้แอพพลิเคชัน Sharktivity ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยใช้ข้อมูลจากหน่วยงานด้านสัตว์ป่ารัฐแมสซาชูเซตส์ ให้ข้อมูลการพบเห็นฉลามโดยนักวิจัย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และรายงานจากผู้ใช้

สายตรวจเฝ้าระวัง

ในรัฐนิวยอร์ก ผู้ว่าการรัฐเพิ่งประกาศการลาดตระเวนเฝ้าระวังเพิ่มเติม รวมถึงการใช้โดรนและเฮลิคอปเตอร์

บนชายหาดท่องเที่ยวของลองไอส์แลนด์ เริ่มมีข่าวฉลามกัดคนหกครั้ง หลังไม่มีเลยมาสามปี

ที่นี่ ฉลามขาวตัวใหญ่มีแนวโน้มกัดคนน้อยกว่าฉลามพันธุ์อื่นที่ว่ายอยู่ในแถบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉลามเสือ ฉลามเสือทราย และฉลามหัวบาตร

นิก วิทนีย์ นักวิทยาศาสต์อาวุโสจากนิวอิงแลนด์อควาเรียม เชื่อว่า การเผชิญหน้ากันที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างคนกับฉลามที่นี่ อาจเกี่ยวข้องกับการที่ปลาตัวเล็กที่เป็นเหยื่อปลาตัวใหญ่ฟื้นตัวขึ้น หรือที่รู้จักกันว่าปลาอีคุดหรือปลาบังเกอร์กำลังฟื้นตัว

นี่อาจเป็นเพราะน่านน้ำนอกนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์สะอาดขึ้น “แต่เป็นเรื่องยากที่จะหาว่าประชากรปลาเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน หรือแค่ประชากรเคลื่อนที่ไปรอบๆ ผลจากสภาพมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงไปเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” วิทนีย์กล่าวเพิ่มเติม

ด้านเกวิน เนย์เลอร์ ผู้อำนวยการโครงการวิจัยฉลาม มหาวิทยาลัยฟลอริดา กล่าวว่า แต่ถ้าสถานการณ์ในระดับท้องถิ่นสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากในแต่ละปี ทั่วโลกจะมีการโจมตีของฉลามราว 75 ครั้งต่อปีหลังจากลดลงช่วงสั้นๆเหลือราว 60 ครั้งในช่วงปีแรกๆ ที่โควิด-19 ระบาด

การเสียชีวิตทั่วโลกราวห้าคน ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมามีรายงานการเสียชีวิตเพียงสองครั้งทางตอนเหนือของเดลาแวร์ในสหรัฐในเคปค้อดปี 2561 และเมนในปี 2563 แต่ในอนาคตย่อมมีเหตุผลที่จะคิดว่าจำนวนเหยื่อจะเพิ่มขึ้น

“เราจะมีการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นฉลามขาวเพิ่มขึ้น ความน่าจะเป็นเพิ่มขึ้น” เนย์เลอร์คาดการณ์ แม้ว่าเทรนด์นี้ยังไม่มีนัยสำคัญทางสถิติก็ตาม

นักเล่นเซิร์ฟ ผู้เสี่ยงภัยเข้าไปในน่านน้ำที่ลึกขึ้น ถูกโจมตีโดยไม่มีการยั่วยุครึ่งหนึ่งในปี 2564 ไกลออกไปทางใต้ที่ฟลอริดา ที่มีชายหาดท่องเที่ยวจำนวนมากและภูมิอากาศแบบเขตร้อน ยังคงเกิดเหตุฉลามจู่โจม 60% ของสหรัฐและ 40% ของโลก

ระวังไว้ก่อน

ฉลามไม่ใช่ภาพสัตว์ร้ายกระหายเลือดเหมือนอย่างที่เห็นในภาพยนตร์ ผลการศึกษาหลายชิ้นชี้ว่า พวกมันอาจเข้าใจผิดคิดว่านักเล่นเซิร์ฟหรือนักว่ายน้ำคือเหยื่อตามปกติ โดยเฉพาะฉลามขาวที่สายตาไม่ค่อยดี

“เนื่องจากคนเล่นน้ำทั่วโลกมีจำนวนมาก ถ้าฉลามอยากกินคนเป็นอาหาร คงต้องมีการโจมตีแบบนี้ปีละหลายหมื่นครั้ง” สโคมาลให้เหตุผล

ด้วยสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้เชี่ยวชาญรายนี้คาดว่า อุณหภูมิมหาสมุทรที่เพิ่มขึ้นจะค่อยๆ ขยายฤดูกาลช่วงที่ฉลามปรากฏตัวทางตอนเหนือของสหรัฐ

แล้วเราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อลดความเสี่ยง คำตอบคือ ประชาชนควรดาวน์โหลดแอพ Sharktivity เพื่อติดตามการพบเห็นฉลาม

“อีกสิ่งหนึ่งที่เราบอกประชาชนคือแค่ระแวดระวังรอบตัวคุณ” วิทนีย์กล่าว ตัวอย่างเช่นดูไปรอบๆ หาฝูงนกที่บินรอบฝูงปลาอีคุด อย่าว่ายน้ำคนเดียว อยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณมือถือ และถ้าถูกกัดอันตรายอยู่ที่เลือดไหลไม่หยุด ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องขึ้นฝั่งและห้ามเลือดจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง