ถึงกับต้องออกมาร้องขอให้เจ้าของธุรกิจต่าง ๆ หันมาซื้อโฆษณาทางทวิตเตอร์ กันต่อไปเลยทีเดียว สำหรับ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจผู้ร่ำรวยและชาญฉลาดที่สุดคนหนึ่งของโลก ซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยจะยอมถอยให้ใครง่าย ๆ
แต่หลังจากที่เขาเข้ามากุมบังเหียนอย่างเต็มตัว แล้วประกาศแผนการยกเครื่องทวิตเตอร์ครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกมาตรการควบคุม Free Speech , การให้คนสามารถจ่ายเงินซื้อ verified account ได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานยืนยันตัวตน ขอแค่มีบัตรเครดิต กับหมายเลยโทรศัพท์ก็พอ ฯลฯ
จนทำให้เหล่าคนดังจำนวนไม่น้อยพากันประกาศเลิกใช้แพลตฟอร์มนี้ ตามมาด้วยการหั่นงบโฆษณาทางทวิตเตอร์ ของเอเจนซีต่างๆ รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง General Motors และ Volkswagen ซึ่งเรื่องนี้ทำให้แม้แต่คนมั่น ๆ อย่าง อีลอน มัสก์ ก็ต้องยอมลดท่าทีแข็งกร้าวลง พร้อมเปิดสเปซ (Twitter Space) พูดคุยเป็นเวลานานร่วมชั่วโมงเพื่อไขข้อข้องใจในประเด็นต่างๆ
credit : FREDERIC J. BROWN / AFP
ในการพูดคุยที่ตัวแทนจากบริษัทชั้นนำอย่าง Adidas, Chevron, Kate Spade, Nissan, Walgreens เข้าร่วมรับฟังครั้งนี้ อีลอน มัสก์ ชี้แจงว่าเขาทำไปเพราะอยากให้ทวิตเตอร์เป็น “พลังขับเคลื่อนอารยธรรมไปในทิศทางบวก” หรือ to “be a force that moves civilization in a positive direction”
โดยมัสก์บอกว่าดัชนีชี้วัดความสำเร็จเรื่องนี้ก็คือ จำนวนผู้ใช้ทวิตเตอร์กับผู้ซื้อโฆษณา คือ ถ้ามันมากขึ้นก็แสดงว่าเขาตัดสินใจถูกต้อง แต่ถ้าลดลงก็แสดงว่าเขาตัดสินใจผิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อยากขอให้คนที่วิพากษณ์วิจารณ์การกระทำของเขา รวมไปถึงบริษัทที่เลิกซื้อโฆษณาบนทวิตเตอร์ ช่วยให้โอกาสกับเขาดูก่อน
“วิธีที่ดีที่สุดในการดูว่าอะไรต่อมิอะไรมันมีพัฒนาการไปทางไหนก็คือการใช้ทวิตเตอร์ เพื่อดูว่าประสบการณ์ของคุณนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร มันดีขึ้นหรือแย่ลง”
แต่ในฐานะของผู้ที่มีประสบการณ์การใช้เฟซบุคและทวิตเตอร์ ทั้งในเรื่องส่วนตัว และหน้าที่การงาน กลับมีความเห็นว่า อีลอน มัสก์ กำลังดำเนินรอยตาม มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุค ที่ดูเหมือนจะ “หลงทาง” และ “หลงลืม” สิ่งที่ทำให้แฟลตฟอร์มของเขาประสบความสำเร็จ แต่กลับใช้ความสำเร็จที่ได้มาเพื่อแสวงหาผลกำไร หรือตอบสนองความต้องการของตัวเองแทน
credit : MANDEL NGAN / AFP
เฟซบุค กลายเป็นโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็เพราะมันทำหน้าที่เป็นสื่อกลางนำพาคนให้มาติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสะดวกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่อยู่ห่างไกลกันคนละจังหวัด คนละซีกโลก สามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวของกันได้ เจ้าของสินค้าและการบริการต่างๆ รวมไปถึงนักร้องนักแสดง สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า กับแฟน ๆ ของพวกเขาได้โดยตรง และทันท่วงที
แต่แล้วมาร์คกลับทำลายสิ่งนั้นลงด้วยการบังคับกลาย ๆ ให้ผู้ใช้ต้องจ่ายเงินซื้อโฆษณา เพื่อบู้ทการมองเห็นโพสต์ของตัวเองจนคนเริ่มตีจาก เพราะเฟซบุคไม่ตอบสนองความต้องการของพวกเขาอีกต่อไป
เราเล่นเฟซบุคเพื่อเชื่อมต่อกับคนรู้จัก ถึงแม้จะมีการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านแพลตฟอร์มนี้อยู่บ้าง แต่มันต้องไม่มากจนถึงขนาดเข้าไปใช้แล้วมองเห็นแต่โฆษณาขายสินค้า แต่กลับมองไม่เห็นโพสต์ของเพื่อนเราที่ถูกปิดกั้นเพราะไม่ได้จ่ายเงินให้แพลตฟอร์ม
แล้วตอนนี้ทวิตเตอร์ภายใต้การกุมบังเหียนของ อีลอน มัสก์ ก็มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นเฟซบุครายต่อไป เพราะไม่ยอมรับฟังเสียงผู้ใช้งานจริงเหมือนกัน