เปิดเบื้องลึก "DJI" บริษัทโดรนเบอร์ 1 โลก ทำไมถึงถูกสหรัฐสั่งแบน?
จากความเป็นคู่แข่งกันในทุกอุตสาหกรรมและความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างจีนกับสหรัฐ ไม่นานมานี้ ผลกระทบก็ลามถึงภาคธุรกิจ เมื่อสหรัฐสั่งแบน "DJI" บริษัทโดรนเบอร์ 1 ของโลก สัญชาติจีน อ้างบริษัทส่งข้อมูลจากโดรนให้รัฐบาลปักกิ่ง แล้วความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่
เดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เกิดประเด็นใหญ่ในสหรัฐ เมื่อบริษัทโดรนชื่อดังอย่าง DJI ถูกรัฐบาลสหรัฐสั่งแบนในประเทศ โดยโดรน DJI ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ของโลกและอันดับ 1 ในสหรัฐสูงถึง 76% ด้วย อีกทั้งถูกใช้งานอย่างกว้างขวางในสหรัฐทั้งในด้านการก่อสร้าง ตามจับอาชญากร อัคคีภัย ไปจนถึงถ่ายทำหนังชื่อดังไม่ว่าจะเป็น Mission Impossible, Star Wars ฯลฯ ก็เลือกใช้โดรนบริษัทนี้
ไม่น่าเชื่อว่า บริษัทโดรนที่ขึ้นมาครองอันดับ 1 ในตลาดสหรัฐนี้ได้จะเป็นบริษัทสัญชาติจีน ซึ่งมีผู้ก่อตั้งชื่อ “แฟรงค์ หวัง” (Frank Wang) นักธุรกิจด้านการบินชาวจีน โดยเหตุผลที่รัฐบาลสหรัฐสั่งแบนคือ เป็นภัยต่อความมั่นคงชาติและเก็บข้อมูลส่งไปยังรัฐบาลปักกิ่ง
- โดรนของบริษัท DJI -
ดังนั้น บทความนี้จะพามารู้จักโดรน DJI นี้ว่า “ล้ำสมัยอย่างไร” ถึงถูกสหรัฐสั่งแบน รวมไปถึงข้อกล่าวอ้างว่าส่งข้อมูลไปยังรัฐบาลปักกิ่งเป็นจริงหรือไม่ เราจะมาไขข้อสงสัยกันดังนี้
เริ่มต้นจากใจรักการบิน
จุดเริ่มต้นของ โดรน DJI เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง โดยนักศึกษาจีนที่ชื่อ “แฟรงค์ หวัง”
หวังรักและหมกมุ่นในการบินมาก ถึงขั้นที่โดดเรียนเกือบทุกวิชาเพื่อมาประดิษฐ์โดรน ด้วยความมุ่งมั่นของเขาจึงทำให้อาจารย์มหาวิทยาลัยของเขาชื่อ หลี่ เจ๋อเซียง และเพื่อนอีก 2 คนร่วมปรึกษาและลงทุนกับเขาก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพโดรน ชื่อว่า DJI (Da-Jiang Innovations Science and Technology)
- แฟรงค์ หวัง นักธุรกิจจีนผู้ก่อตั้งบริษัท DJI -
จากนั้น หวังก็ย้ายบริษัทมาตั้งที่เมืองเสิ่นเจิ้นแทน ซึ่งเปรียบเสมือนย่าน Silicon Valley ของจีน ด้วยการพัฒนาโดรนอย่างไม่หยุดยั้ง ประกอบกับบริษัทยอมขาดทุน ลงทุนกับการวิจัยจำนวนมาก จึงทำให้โดรน DJI ขึ้นมาระดับแนวหน้า สามารถขยายตลาดจากจีนไปถึงสหรัฐ ยุโรป เอเชีย แอฟริกาและครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ของโลกได้จนถึงทุกวันนี้
- DJI ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในสหรัฐ ทิ้งห่างคู่แข่งหลายเท่าตัว -
โดรน DJI ของจีนนี้ล้ำสมัยและต่างจากคู่แข่งอย่างไร ถึงขึ้นมามีส่วนแบ่งอันดับ 1 ในสหรัฐสูงถึง 76% ได้ พบว่ามีเหตุผลสำคัญอยู่ 4 ข้อดังนี้
1. คุณภาพของตัวโดรน กล้องโดรน DJI มีความชัดระดับ 4K เมื่อมองภาพจากโดรนผ่านแว่นครอบ ความรู้สึกเสมือนนั่งอยู่บนตัวโดรน อีกทั้งโดรนยังสามารถขยับตามการสะบัดของมือเรา ทำความเร็วได้สูงถึง 140 กม./ชม. วิ่งโฉบเฉี่ยวไปมาได้ทั้งหุบเขาและหน้าผา
2. โดรนมีหลากหลายแบบในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น
- สามารถสร้างแบบจำลองพื้นผิวภูมิประเทศต่าง ๆ (Digital Surface Model) มีประโยชน์อย่างยิ่งอย่างการศึกษาสัณฐานชายหาด คำนวณปริมาตรทรายชายหาด ซึ่งแต่เดิมเราใช้การรังวัดที่ดิน ใช้กล้องวัดระดับซึ่งต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมหาศาล ขณะที่โดรนจะช่วยลดต้นทุนเหล่านี้ได้
- การทำแผนที่ภาพถ่ายจากโดรน (Orthomosaic) เหมือน Google Earth แต่คมชัดและละเอียดกว่า เป็นประโยชน์ต่อการออกแบบก่อสร้างอาคาร
- การถ่ายวิดิโอในจุดที่ไม่มีใครไปถึง อย่างโดรน DJI Mavic 3 สามารถบินได้สูงถึง 9,232 เมตร เหนือยอดเขาเอเวอเรสต์
- การทำเกษตร พ่นยากำจัดศัตรูพืช พ่นปุ๋ยน้ำจากโดรน ทั้งรวดเร็วมากและประหยัดเวลา
- ภัยพิบัติฉุกเฉิน ตามหาผู้ประสบภัย พ่นน้ำดับเพลิง ส่งยารักษาโรค
- ตำรวจสามารถใช้สะกดรอยตามผู้ต้องสงสัย คนหาย และอาชญากร
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดูแลภัยพิบัติจำนวนไม่น้อยในสหรัฐ ต่างไม่ค่อยสบายใจกับการแบนโดรน DJI เนื่องจากสหรัฐมีหน่วยงานรัฐมากกว่า 500 หน่วยที่ใช้โดรนบริษัทนี้ การแบนจะทำให้ศักยภาพการทำงานของตำรวจและเจ้าหน้าที่ภัยพิบัติลดน้อยลง
3. การเชื่อมต่ออย่างทั่วถึงกัน DJI ได้ร่วมมือกับบริษัท DroneBase ที่มีระบบคล้าย Uber ที่ทำให้คนไม่มีโดรน แต่ต้องการรูปจากมุมโดรนก็สามารถใช้งานโดรนผู้อื่นที่ยินดีให้บริการได้ อีกทั้งโดรน DJI ยังสามารถ Live Facebook สตรีมต่างๆได้อีกด้วย
4. ราคาโดรนเข้าถึงได้เมื่อเทียบกับคู่แข่ง เมื่อเปรียบเทียบโดรน DJI กับคู่แข่งในฟังก์ชันเดียวกัน จะเห็นว่าราคาคู่แข่งสูงกว่า DJI ไม่น้อย
จอน บีล ประธานสมาคม Law Enforcement Drone Association ได้ให้ความเห็นต่อการแบนโดรน DJI นี้ว่า ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะสร้างโดรนสัญชาติสหรัฐมาทดแทน โดรน DJI ซึ่งจะทำให้โดรนรุ่นผลิตในสหรัฐแพงกว่าโดรน DJI ราว 3-10 เท่า และอาจได้คุณสมบัติไม่เทียบเท่าด้วย
ด้วยเหตุผลหลัก 4 ประการนี้จึงทำให้โดรน DJI ก้าวขึ้นมาครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ทั้งในสหรัฐและโลกได้สำเร็จ
โดรน DJI ส่งข้อมูลไปยังรัฐบาลปักกิ่งจริงหรือไม่
จากหลักฐานและข้อมูลที่อัปเดตขณะนี้ บริษัทผู้ให้คำปรึกษาเทคโนโลยีสหรัฐชื่อดังอย่าง Booz Allen Hamilton ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในรัฐเวอร์จิเนีย ได้ตรวจสอบความปลอดภัยของโดรน DJI และรายงานว่า “ไม่พบหลักฐานส่งข้อมูลไปยังประเทศจีน”
ในกรณีการเก็บข้อมูลของ DJI เราจะเห็นว่าทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เราใช้, Social Media, App ต่างๆล้วนเก็บข้อมูลจากผู้บริโภคทั้งสิ้น เพื่อประสิทธิภาพอัลกอริทึม การพัฒนาธุรกิจ การเรียนรู้ของ AI ต่างๆ ซึ่งถ้าเราไม่ต้องการให้มีการเก็บข้อมูล สิ่งที่เป็นไปได้จริงคือ เราต้องหยุดการใช้สื่อออนไลน์ทุกอย่างรวมไปถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้คน ซึ่งคงเป็นไปได้ยากมากในการทำงานปัจจุบัน
ดังนั้น จากกรณีที่รัฐบาลสหรัฐสั่งแบนโดรนจีน DJI เราจะเห็นชัดว่าการเมืองได้ขยายมาถึงภาคธุรกิจแล้ว ท่ามกลางการขับเคี่ยวกันระหว่างจีนกับสหรัฐในเกือบทุกด้านตั้งแต่ชิป โดรน อวกาศ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ฯลฯ เราหวังว่าความขัดแย้งนี้จะจำกัดกรอบอยู่ในเศรษฐกิจ ไม่ลุกลามกลายเป็นสงครามจริง!
-----------------
อ้างอิง: