ยกเลิกโควิดเป็นศูนย์ จีนเองก็ลำบาก!
การประท้วงของชาวจีนรอบนี้เป็นผลจากความยากลำบากในการดำเนินชีวิตตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ และประชาชนส่วนหนึ่งได้เรียนรู้แล้วว่า เมื่อเดือดร้อนก็ต้องโวย! รัฐบาลจึงรับฟังและแก้ไข โควิดไม่ใช่แค่เรื่องโควิด อาจมีเรื่องการเมืองตามมา
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจีนตกอยู่ในสปอตไลท์โลกไม่เว้นแต่ละเดือน เพราะด้วยความเป็นมหาอำนาจการดำเนินนโยบายของพญามังกรย่อมส่งผลต่อโลกไม่มากก็น้อย แต่ส่วนใหญ่จะส่งผลกระทบมาก ดูอย่างโควิด-19 นั่นปะไรพบครั้งแรกที่จีน อีกไม่กี่วันก็จะครบสามปีแล้ว เพื่อไม่ให้เสียชื่อที่ตนเองพบไวรัสร้ายเป็นที่แรก จีนใช้นโยบายควบคุมเข้มงวด รู้จักกันในชื่อ “โควิดเป็นศูนย์” หรือ ซีโร่โควิด ใช้มาเกือบสามปี หลักปฏิบัติอยู่ที่ล็อกดาวน์ทันทีที่พบผู้ติดเชื้อไม่ว่าจะกี่คนก็ตาม ตรวจหาเชื้อจากประชาชนจำนวนมาก และกักตัวยาวนาน
ความโหดของนโยบายโควิดเป็นศูนย์เห็นได้กรณีล็อกดาวน์ศูนย์กลางการเงินเซี่ยงไฮ้ร่วมสองเดือนเมื่อเดือน เม.ย. การประท้วงของผู้คนเริ่มมีให้เห็น คลิปที่หลุดรอดการเซนเซอร์ออกมาเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตชวนให้คิดว่า ของจริงน่าจะมีมากกว่านี้ การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 20 เมื่อกลางเดือน ต.ค. โลกจึงจับตาดูว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์อีกหนึ่งสมัยตามคาด ก็น่าจะผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์เสียที ถึงเวลาเปิดประเทศจีนที่ใครๆ ก็รอคอย ไทยนั้นรอนักท่องเที่ยวจีนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สินค้าแบรนด์เนมยุโรปได้ข่าวว่ายอดขายตกเมื่อไม่มีชาวจีนไปช่วยซื้อ
ที่ไหนได้ประธานาธิบดีสีกระชับอำนาจได้แล้วกลับยังไม่มีทีท่าผ่อนคลาย ทางการจีนประกาศกร้าวเดินหน้าโควิดเป็นศูนย์ต่อเพราะนี่คือนโยบายช่วยชีวิตคนป้องกันระบบสาธารณสุขจีนล่ม แต่จุดเปลี่ยนก็มาถึงเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารที่พักแห่งหนึ่งในเมืองอุรุมชี เขตซินเจียง มีผู้เสียชีวิต 10 คน บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ประชาชนพากันกล่าวโทษว่า เป็นเพราะมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ความช่วยเหลือมาไม่ทัน การจุดเทียนไว้อาลัยผู้เสียชีวิตในอุรุมชีกลายเป็นการประท้วงในหลายเมือง ก้าวหน้าถึงขนาดผู้ประท้วงประกาศโค่นพรรคคอมมิวนิสต์ โค่นสี จิ้นผิง
ล่าสุดแม้รัฐบาลยังไม่ประกาศออกมาชัดเจนว่ายกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์แต่หลายเมืองใหญ่เริ่มผ่อนปรนแล้ว อาทิ รื้อถอนบูธตรวจหาเชื้อโควิด-19 ยกเลิกการแสดงผลตรวจโควิดเป็นลบก่อนเข้าสถานที่สาธารณะ ทั้งหมดนี้ถือเป็นสัญญาณดีสู่การเปิดประเทศจีนในอนาคต แต่ขึ้นชื่อว่าประเทศมหาอำนาจก็ไม่วายมีคนเป็นห่วงเป็นใยออกมาเตือนว่า ถ้าจู่ๆ จีนยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์โดยไม่มีมาตรการรองรับ คนจีนจะตายกันอีกกี่ล้านคน แม้แต่แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้ออันดับหนึ่งของสหรัฐวิจารณ์ว่า อัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในจีนยังต่ำโดยเฉพาะในหมู่ผู้สูงวัย แถมวัคซีนที่ใช้ยังไม่มีประสิทธิภาพ มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ทำก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่า คนจีนอาจต้องเสียชีวิตตั้งแต่ 1.5-2.1 ล้านคน และด้วยความที่จีนมีประชากรมากและอาศัยกันอยู่หนาแน่น หากพบการติดเชื้อระลอกใหม่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่น่ากังวลจึงเป็นไปได้สูง
สถานการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ใช่กิจการภายในของประเทศจีน แต่เป็นกิจการที่ส่งผลต่อโลกด้วยโดยเฉพาะเศรษฐกิจ เพราะนานาประเทศกำลังรอจีนอยู่ และอีกเรื่องที่ต้องจับตาคือ การประท้วงของชาวจีนรอบนี้เป็นผลจากความยากลำบากในการดำเนินชีวิตตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ และประชาชนส่วนหนึ่งได้เรียนรู้แล้วว่า เมื่อเดือดร้อนก็ต้องโวย! รัฐบาลจึงรับฟังและแก้ไข เมื่อคราวนี้โวยได้ คราวหน้าก็โวยได้ โควิดไม่ใช่แค่เรื่องโควิด อาจมีเรื่องการเมืองตามมา การเปลี่ยนแปลงอาจไม่เกิดขึ้นปุบปับแต่เหมือนคลื่นใต้น้ำคอยสั่งสมทวีความรุนแรงไปเรื่อยๆ สถานการณ์การเมืองเศรษฐกิจจีนนับจากนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตา เพราะจีนเองก็ลำบาก!