อินเดียผงาดแซงหน้าญี่ปุ่น สู่ตลาดยานยนต์ Top3 ของโลก
สำนักข่าวเคอร์เรนต์แอฟแฟร์ รายงานอ้างอิงข้อมูลจาก “มารูติ ซูซูกิ อินเดีย” บริษัทรถยนต์ของอินเดีย ระบุว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์เมื่อปี 2565 ทำให้อินเดียขึ้นแซงหน้าญี่ปุ่น กลายเป็นประเทศตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดอันดับสามของโลกครั้งแรก
อินเดีย มียอดจำหน่ายรถยนต์ราว 4.25 ล้านคัน ซึ่งสูงกว่ายอดขายรถยนต์ในญี่ปุ่นที่ 4.2 ล้านคัน ซึ่งยอดจำหน่ายรถยนต์ในอินเดียอาจเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เนื่องจากประเทศยังคงรวบรวมข้อมูลการจำหน่ายรถยนต์ในไตรมาสสี่ รวมถึงผลประกอบการสิ้นปี ที่บริษัททาทามอเตอร์และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นยังไม่เปิดเผย
ก่อนผงาดเป็นตลาดรถยนต์ Top 3 ของโลก
อุตสาหกรรมยานยนต์อินเดีย ช่วงปี 2561-2563 ค่อนข้างผันผวน ซึ่งในปี 2562 อินเดียมียอดจำหน่ายรถยนต์ต่ำกว่า 4 ล้านคัน และในปี 2561 ยอดขายลดลงเพราะวิกฤตสินเชื่อที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคาร
และยอดจำหน่ายต่ำกว่า 3 ล้านคันในปี 2563 เนื่องจากเผชิญกับการแพร่ระบาดของโลกโควิด-19 ส่วนในปี 2564 ยอดขายรถยนต์ ดีดตัวขึ้นมาถึง 4 ล้านคัน แต่การจำหน่ายยังได้รับผลกระทบจากภาวะขาดแคลนชิ้นส่วนรถยนต์อยู่
ในปีนี้ การขาดแคลนชิป เริ่มลดลง ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์อย่างทาทามอเตอร์ มารูติ ซูซูกิ และบริษัทอื่น ๆ อาจมียอดขายในปีที่แล้วเพิ่มขึ้นได้
คาดการณ์ตลาดรถยนต์อินเดีย
อินเดียมีประชากร 1,400 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นจนมากกว่าประเทศจีนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงช่วงยุค 2060 รวมถึงรายได้ประชาชนจะเพิ่มขึ้นด้วย
“ยูโรมอเตอร์” บริษัทวิจัยของอังกฤษ ระบุว่า มีครัวเรือนอินเดียเพียง 8.5% เท่านั้น ที่มีรถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคลในปี 2564 ดังนั้น อินเดียยังมีระยะห่างของการเติบโตตลาดยานยนต์อยู่มาก
อย่างไรก็ดี รัฐบาลเริ่มให้เงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ท่ามกลางการขาดดุลการค้าเพราะการนำเข้าน้ำมัน
ตลาดรถยนต์ญี่ปุ่นซบเซา
เมื่อปี 2533 ญี่ปุ่นมียอดจำหน่ายรถยนต์ทำลายสถิติสูงสุดที่ 7.7 ล้านคัน ตั้งแต่นั้นมายอดขายลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง บวกกับประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงมีโอกาสน้อยที่การจำหน่ายรถยนต์จะฟื้นตัวในอนาคตหรือเร็ว ๆ นี้
อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นเคยแซงหน้าสหรัฐสู่ตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกเมื่อปี 2552
ทั้งนี้ ในปี 2564 จีนยังคงเป็นผู้นำโลกด้านตลาดรถยนต์ ด้วยยอดขายสูงถึง 26.27 ล้านคัน รองลงมาเป็นสหรัฐซึ่งมียอดขายอยู่ที่ 15.4 ล้านคัน ล่าสุด อันดับสามเป็นอินเดีย และอันดับ4 เป็นญี่ปุ่น ตามที่กล่าวข้างต้น