เทียบฟอร์ม ‘ปูติน vs เซเลนสกี’ หนึ่งปีสงครามรัสเซีย-ยูเครน
แม่ทัพคือผู้มีบทบาทสำคัญในสงคราม การศึกระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่กำลังจะครบรอบหนึ่งปี คนหนึ่งคืออดีตสายลับเคจีบีกลายมาเป็นผู้นำใช้อำนาจเด็ดขาดมานานกว่าสองทศวรรษ อีกคนคือนักแสดงตลกชื่อดังผันตัวมาเป็นนักการเมืองและต้องกลายเป็นผู้นำในช่วงสงครามหลังเป็นประธานาธิบดีได้ไม่ถึงสามปี
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียและประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน เผชิญหน้ากันในสงครามหนึ่งปีในยูเครน ความขัดแย้งนองเลือดที่สุดของยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งสองประเทศเคยอยู่ในสหภาพโซเวียตแม้แยกกัน 25 ปีแล้วแต่ทั้งคู่ต่างถือธงวิสัยทัศน์ตรงข้ามกันสุดขั้วของโลกหลังยุคโซเวียต
สำหรับปูติน วัย 70 ปี การล่มสลายของโซเวียตคือหายนะที่เขามุ่งมั่นแก้ไข บอกเป็นนัยว่าจำเป็นต้องใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อนำเคียฟกลับมาสู่อ้อมแขนของมอสโก แต่เซเลนสกี วัย 45 ปี เอาอนาคตประเทศผูกพันกับโลกตะวันตก เขาได้รับเลือกตั้งมาอย่างถล่มทลายในปี 2562 จากกระแสความไม่พอใจความก้าวร้าวของรัสเซีย และการทุจริตในหมู่ชนชั้นนำเก่ายุคโซเวียต
ช่องว่างระหว่างทั้งสองเห็นได้ชัดในการพบหน้ากันครั้งแรกระหว่างการประชุมปี 2562 ที่กรุงปารีส โดยมีประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงและนายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เคิลของเยอรมนีเข้าร่วมด้วย
เซเลนสกี เจ้าของรอยยิ้มเขินอายและเพลิดเพลินกับความสนใจกับประชาคมโลกเมื่อพูดถึงการยุติการสู้รบในยูเครนตะวันออก ณ จุดหนึ่งเมื่อวันนั้นเขาเต็มใจฟังคำแนะนำจากปูตินที่บอกให้หันมาแล้วยิ้มให้กับกล้อง
“ทั้งตอนนี้และตอนนั้นเห็นได้ชัดว่า นี่คือผู้นำที่แตกต่างกันโดยพื้นฐาน คนหนึ่งทันสมัย หนุ่ม ไม่เป็นทางการ มุ่งเน้นการพัฒนา อีกคนปิดตัว คร่ำครึ อำนาจนิยม ความคิดซับซ้อนและบ้าคลั่ง” อังเดร โคเลสนิคอฟ นักวิเคราะห์การเมืองชาวรัสเซีย จากมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ กลุ่มคลังสมองในสหรัฐให้ความเห็น
โอหัง ไม่ให้เกียรติ
นับตั้งแต่รัฐบาลเครมลินสั่งทหารรัสเซียโค่นรัฐบาลยูเครนเมื่อหนึ่งปีก่อน ทั้งสองชายท้าทายความคาดหวังที่มีต่อตัวเขา
เซเลนสกีไม่เพียงยังอยู่ในกรุงเคียฟที่ถูกระเบิดถล่มหนักในชั่วโมงแรกๆ ที่รัสเซียรุกราน แต่เขายังออกไปแนวหน้านับครั้งไม่ถ้วน รวมถึงไปยังเมืองบัคมุต สมรภูมิยาวนานที่สุดที่ตอนนี้กลายเป็นศูนย์กลางการต่อสู้
อนาโตลี ออคติไซยัค นักวิเคราะห์การเมืองชาวยูเครน อธิบายว่า ก่อนสงครามเซเลนสกีนำเสนอตนเองเป็น “ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ”
“ปูตินปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นตัวตลก โง่ เฟอะฟะ การรุกรานเป็นผลจากปูตินประเมินต่ำ โอหัง และไม่ให้เกียรติเซเลนสกี”
ทั้งหมดเปลี่ยนแปลงไปหลังปูตินเปิดการรุกรานยูเครนเต็มรูปแบบ ประชาชนหลายล้านคนพลัดที่นาคาที่อยู่ เสียชีวิตหลายพันคน สถานะทางการเมืองของปูตินเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
ผู้นำรัสเซียที่ชอบถ่ายภาพแมนๆ ในป่าไซบีเรียถึงบัดนี้ก็ยังไม่บรรลุเป้าหมายในยูเครน เขาไม่เคยออกไปแนวหน้าแต่มอบรางวัลในทำเนียบเครมลินที่ปลอดภัยและห่างไกลจากแนวหน้าแทน ทั้งยังถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก ขณะที่เซเลนสกีต้อนรับผู้นำระดับสูงของยุโรปเดินหน้ามาเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวเขาได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติเมื่อไปเยือนกรุงวอชิงตันและกรุงลอนดอน และที่แตกต่างจากปี 2562 ตอนนี้เซเลนสกีไม่เจรจากับรัสเซียตราบเท่าที่ปูตินยังอยู่ในอำนาจ
“เขาเป็นใครในตอนนี้ หลังจากรุกรานเต็มรูปแบบ สำหรับผมเขาเป็นคนไม่สำคัญ” เซเลนสกีให้สัมภาษณ์สื่ออังกฤษก่อนหน้าในปีนี้
แก๊งเสพยานีโอนาซี
หนึ่งวันหลังปูตินส่งกองทัพเข้าไปในยูเครน เขาเรียกร้องให้ทหารยูเครนวางอาวุธ
“มันคงจะง่ายขึ้นสำหรับเราที่จะสมานฉันท์กับคุณมากกว่าแก๊งติดยาและนีโอนาซีที่ลงหลักปักฐานในกรุงเคียฟ แล้วยึดประชากรยูเครนทั้งประเทศเป็นตัวประกัน”แต่ความรู้สึกในมอสโกที่ว่าเครมลินไม่สามารถต่อรองกับเซเลนสกีย้อนกลับไปก่อนการสู้รบปะทุขึ้นในเดือน ก.พ.
“ปูตินไม่ได้มองว่าเซเลนสกีคือนักการเมืองแบบที่เขาพร้อมจะคุยหรือเจรจาด้วย สำหรับเขาเซเลนสกีคือมนุษย์ต่างดาว พวกเขาเทียบกันไม่ได้” โคเลสนิคอฟ กล่าว
หนึ่งปีของความขัดแย้ง เซเลนสกีกระตุ้นผู้บริจาคทางการทหารและการเงินให้ยูเครนอย่างกระตือรือร้น ส่วนการรุกคืบของรัสเซียในสนามรบเป็นไปอย่างเชื่องช้าและมีค่าใช้จ่ายสูงมากสำหรับทั้งสองฝ่าย
ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายตกลงใจจะสู้ต่อไป เซเลนสกีกำลังเผชิญกับโอกาสความเบื่อหน่ายสงครามทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่เครมลินจำเป็นต้องสู้จนจบ
“ปูตินต้องดุดันและก้าวร้าวมากขึ้น เขากำลังจมอยู่ในทฤษฎีสมคบคิดของตนเอง และพร้อมจะทำสงครามโดยไม่ต้องคำนึงว่าต้องสูญเสียทรัพยากรและชื่อเสียงที่เหลือน้อยลงทุกที” โคเลสนิคอฟกล่าวต่อ
สิ่งที่กระตุ้นให้ปูตินต้องทำอย่างนี้คือ ความกลัวว่า โมเมนตัมแบบเดียวกันที่ช่วยหนุนเซเลนสกีขึ้นสู่อำนาจจะเริ่มเข้ามาสู่รัสเซีย
“ดาวตลกขำๆ หนึ่งคนชนะการเลือกตั้ง แล้วบอกว่าจะเปลี่ยนประเทศอย่างไร ถ้าเกิดในยูเครนได้แล้วทำไมจะเกิดในรัสเซียไม่ได้” นักวิเคราะห์ชาวยูเครนกล่าวทิ้งท้าย