"สหรัฐ" หมดเสน่ห์? "เศรษฐีอเมริกัน" แห่ย้ายประเทศ!

Keypoints

• มีพลเมืองอเมริกันสอบถามข้อมูลโครงการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐานมากเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 (พุ่งขึ้น 447% จากปี 2562)
• เศรษฐีทั่วโลกไหลเข้าอเมริกาลดลง เหลือเพียง 1,500 คนในปี 2565 เทียบกับระหว่าง 6,400-10,800 คนต่อปีในช่วงปี 2556-2562
• สหรัฐเป็นตลาดความมั่งคั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วน 32% ของความมั่งคั่งทั่วโลก

รายงานความมั่งคั่งของสหรัฐ (USA Wealth Report) ฉบับแรก ซึ่งเผยแพร่เมื่อไม่นานนี้ โดยบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐาน เฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส (Henley & Partners) ร่วมกับบริษัทข้อมูลความมั่งคั่ง นิวเวิลด์เวลท์ (New World Wealth) ระบุว่า สหรัฐกำลังสูญเสียความน่าดึงดูดใจในหมู่เศรษฐีที่กำลังต้องการย้ายถิ่นฐาน โดยผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า "ความฝันแบบอเมริกัน" (American Dream) กำลังสิ้นมนต์ขลัง

รายงานยังเผยให้เห็นว่า ในสหรัฐ กำลังมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง (HNWI) โดยเมืองต่าง ๆ เช่น ออสติน สกอตส์เดล กรีนิช และไมอามี กำลังมีเศรษฐีเพิ่มขึ้น ในขณะที่เมืองใหญ่ที่มั่งคั่งอย่างลอสแอนเจลิส ชิคาโก และมหานครนิวยอร์ก กลับมีเศรษฐีลดลง

รายงานความมั่งคั่งของสหรัฐประจำปี 2566 ประกอบด้วยผลการวิจัยและข้อมูลใหม่เกี่ยวกับความมั่งคั่งส่วนบุคคล ซึ่งเป็นการพิจารณาความมั่งคั่งของอเมริกาอย่างครบถ้วนรอบด้าน ได้แก่ เทรนด์ในหมู่ผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง ข้อมูลสถิติความมั่งคั่งของเมือง รูปแบบการย้ายถิ่นฐานของเศรษฐี รวมถึงปัจจัยขับเคลื่อนหลักและผู้สร้างความมั่งคั่ง

ข้อมูลดังกล่าวเผยให้เห็นว่า เศรษฐีทั่วโลกไหลเข้าอเมริกาลดลงอย่างชัดเจนในปี 2565 เหลือเพียง 1,500 คน เทียบกับช่วงปี 2556-2562 ที่เศรษฐีทั่วโลกไหลเข้าอเมริการะหว่าง 6,400-10,800 คนต่อปี

ส่วน การไหลออกของผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงนั้น เมห์ดี คาดีรี หัวหน้าประจำภูมิภาคอเมริกาเหนือของเฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส เปิดเผยว่า มีพลเมืองอเมริกันสอบถามข้อมูลจากบริษัทมากเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 (พุ่งขึ้น 447% จากปี 2562) และนับเป็นครั้งแรกที่ชาวอเมริกันสมัครเข้าร่วมโครงการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐานและขอสัญชาติมากที่สุดเมื่อเทียบกับคนสัญชาติอื่นทั่วโลก "เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากนักลงทุนในสหรัฐ"

ทั้งนี้ เฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส เปิดสำนักงานในอเมริกา 3 แห่ง ในศูนย์กลางความมั่งคั่งอย่างลอสแอนเจลิส ไมอามี และมหานครนิวยอร์ก

• เทียบความมั่งคั่งส่วนบุคคลของสหรัฐ

สหรัฐเป็นตลาดความมั่งคั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วน 32% ของความมั่งคั่งทั่วโลก และครองสัดส่วน 36% ของเศรษฐีเงินดอลลาร์ทั่วโลก

นอกจากนี้ สหรัฐยังเป็นที่ตั้งของตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก 2 แห่ง (ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและแนสแด็ก) รวมทั้งเป็นที่ตั้งของบริษัท 9 แห่งที่ติด 10 อันดับบริษัทใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ยิ่งไปกว่านั้น แค่ความมั่งคั่งในนครนิวยอร์กเพียงแห่งเดียวก็เหนือกว่าประเทศในกลุ่ม G20 ส่วนใหญ่แล้ว

ในรายงานความมั่งคั่งของสหรัฐ เจฟฟ์ ดี ออปไดค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับแนวหน้าของโลกและผู้เขียนบทความเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคล ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง ความไม่สงบทางสังคมและการเมือง และชนชั้นกลางที่ลดลงอย่างรวดเร็ว กำลังทำให้ชาวอเมริกันผู้มั่งคั่งย้ายถิ่นฐานหรือสละสัญชาติมากเป็นประวัติการณ์

"ในท้ายที่สุดแล้ว ชนชั้นผู้บริโภคใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นในประเทศนอกซีกโลกตะวันตกจะมีจำนวนมากกว่าผู้บริโภคในโลกตะวันตกถึง 3 พันล้านคนหรือมากกว่านั้น ความฝันแบบอเมริกันกำลังสิ้นมนต์ขลังในบ้านเกิด แต่กำลังเกิดใหม่ในชนชั้นผู้บริโภคที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และการเข้าถึงคนกลุ่มนี้อาจหมายความว่าคุณต้องก้าวออกจากพรมแดนอเมริกาและพาครอบครัวไปตั้งรกรากที่อื่น"

• เมืองมั่งคั่งที่สุดและโตเร็วที่สุดในสหรัฐ

นครนิวยอร์กครองตำแหน่งเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐ (และในโลก) โดยมีเศรษฐี 340,000 คน ตามมาด้วยเขตอ่าวซานฟรานซิสโก (285,000 คน), ลอสแอนเจลิส (205,400 คน), ชิคาโก (124,000 คน) และฮิวสตัน (98,500 คน)

สำหรับศูนย์กลางความมั่งคั่งที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐนั้น พบว่า มี 5 เมืองที่จำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นมากกว่า 70% ในทศวรรษที่ผ่านมา นำโดยเมืองออสตินซึ่งมีจำนวนเศรษฐีพุ่งขึ้น 102% ระหว่างปี 2555-2565 และปัจจุบันเมืองนี้มีจำนวนผู้มีความมั่งคั่งมูลค่าสูงกว่า 1 ล้านดอลลาร์อยู่ราว 30,500 คน

ตามมาด้วยเมืองเวสต์ปาล์มบีช ซึ่งมีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้น 90% (มีเศรษฐี 9,400 คน), สกอตส์เดลเพิ่มขึ้น 88% (มีเศรษฐี 13,900 คน), ไมอามีเพิ่มขึ้น 75% (มีเศรษฐี 38,000 คน), กรีนิชและดาเรียนเพิ่มขึ้น 72% (มีเศรษฐี 11,900 คน)

----------

อ้างอิง: Henley Global, USA Wealth Report 2023