'เฟด' คงดอกเบี้ยตามคาด ยุติวงจร 'ดอกเบี้ยขาขึ้น'
"เฟด" ประกาศคงดอกเบี้ยนโยบายตามคาด นับเป็นการยุติวงจร "ดอกเบี้ยขาขึ้น" นานถึง 15 เดือน แต่ระบุมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเอกฉันท์ในการประชุมเมื่อวันพุธ (14 มิ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.00-5.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2550 ปิดฉากวงจร "ดอกเบี้ยขาขึ้น" ในสหรัฐ ที่กินเวลายาวนานร่วม 15 เดือน
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเฟดเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก หลังจากเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ย 10 ครั้งตั้งแต่เดือน มี.ค. ปีที่แล้ว และมีขึ้นหลังจากเอฟโอเอ็มซีมีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเมื่อต้นเดือน พ.ค. 2566
แถลงการณ์ของ เอฟโอเอ็มซี ระบุว่า การคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ทำให้เอฟโอเอ็มซีสามารถประเมินข้อมูลเพิ่มเติมและตัวบ่งชี้ต่าง ๆ สำหรับนโยบายทางการเงินได้
ทั้งนี้ การประชุมครั้งต่อไปของเฟดจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 ก.ค.นี้
นอกจากนี้ สมาชิกเอฟโอเอ็มซีครึ่งหนึ่ง หรือ 9 คนมีความเห็นว่า อาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้
ก่อนหน้านี้ บรรดานักลงทุนเทน้ำหนักกว่า 95% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อหรือดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในสหรัฐต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ปี
เมื่อวันอังคาร (13 มิ.ย.) กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนี CPI ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 4.0% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2564 จากระดับ 4.9% ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
ขณะที่ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือน มิ.ย., ก.ค. และ ก.ย. ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมเดือน พ.ย. และปรับลดอีก 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมเดือน ธ.ค.
- สำหรับการคาดการณ์นโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2566 มีดังต่อไปนี้:
วันที่ 25-26 ก.ค. (คาดคงดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25%)
วันที่ 19-20 ก.ย. (คาดคงดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25%)
วันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย. (คาดลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.75-5.00%)
วันที่ 12-13 ธ.ค. (คาดลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.50-4.75%)