ชาวจีนยก ‘เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์’ เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง

แม้ต้นสังกัดยังไม่ยืนยันความสัมพันธ์ แต่ความมั่งคั่งของพ่อชายหนุ่มได้รับการยืนยันหลายต่อหลายครั้งว่ามั่งคั่งติดอันดับโลก 

เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ วัย 74 ปี เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง  ประธาน และซีอีโอ บริษัทแอลวีเอ็มเอช โมเอต์ เฮนเนสซี หลุยส์ วิตตอง หรือเรียกกันทั่วไปว่าแอลวีเอ็มเอช ปัจจุบันเป็นบุคคลร่ำรวยอันดับ 2 ของโลก รองจากอีลอน มัสก์  ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ของอาร์โนลต์และครอบครัวกว่า 227,400 ล้านดอลลาร์หรือราว 7.9ล้านล้านบาท ที่ผ่านมาเขาเคยแซงหน้ามัสก์ ขึ้นเป็นบุคคลผู้มั่งคั่งที่สุดในโลกหลายครั้ง เช่น ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา, เดือน ธ.ค.2565, ปี 2562, ปี 2563 และปี 2564 แต่ละครั้งแม้เป็นอภิมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งโลกได้ไม่นาน  แต่ชายฝรั่งเศสผู้นี้ก็ถือว่าเป็นตำนาน

เมื่อเทียบกับอภิมหาเศรษฐีคนอื่นๆ อาร์โนลต์เก็บตัวและไม่เป็นที่รู้จักมากนักนอกฝรั่งเศส แต่บริษัทในเครือแอลวีเอ็มเอชไม่ธรรมดา มีแบรนด์เก่าแก่หลายแบรนด์อย่างบุลการี, ดิออร์, เฟนดิ, จีวองชีและแน่นอนว่าต้องมีหลุยส์วิตตอง

นอกจากนี้ยังมีร้านค้าปลีกเซฟอรา ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในปารีส แบรนด์เก่าแก่สุดของบริษัทคือบริษัทผลิตไวน์ Chateau d’Yquem ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 16

ในสหรัฐ อาร์โนลต์ได้รับความสนใจตอนซื้อบริษัทจิวเวลรีชื่อดัง ทิฟฟานีแอนด์โค ในปี 2562 วงเงินเกือบ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์

ในเยอรมนี เขาตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งเมื่อต้นปี 2564 ตอนซื้อหุ้นใหญ่ Birkenstock แม้ยังไม่ชัดเจนว่าบริษัทผลิตรองเท้าแตะจะกลายเป็นแบรนด์หรูได้อย่างไร

เปลี่ยนกระเป๋าหลุยส์วิตตองเป็นเงินพันล้าน

อาร์โนลต์เกิดทางภาคเหนือของฝรั่งเศสใกล้ชายแดนเบลเยียม หลังจบการศึกษาจากวิทยาลัยวิศวกรรม เขาทำงานในบริษัทก่อสร้างของบิดาเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลังจากนั้นไม่นานได้ขึ้นเป็นประธานบริษัท

ปี 2527 อาร์โนลต์เข้าซื้อกิจการล้มละลาย เช่น คริสเตียน ดิออร์และห้างสรรพสินค้าเลอ บอง มาร์เช จากนั้นก็บุกตลาดหรู ปี 2530 ควบรวมกิจการหลุยส์วิตตองกับโมเอต์ เฮนเนสซี เป็นแอลวีเอ็มเอช หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ผลักคนอื่นออกไป จนได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานคณะกรรมการบริหารในปี 2532และยังคงรับหน้าที่นี้ตลอดมานับตั้งแต่บัดนั้น

หลังจากเป็นเจ้านายแต่เพียงผู้เดียว อาร์โนลต์ใช้เวลาหลายสิบปี ทุ่มเงินหลายพันล้านยูโรซื้อบริษัทแล้วบริษัทเล่า หลายแบรนด์บริหารจัดการย่ำแย่และล้าสมัย แต่เขาก็ใช้การบริหารแบบใหม่ ว่าจ้างดีไซเนอร์หนุ่มสาวเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลง

มีรายงานว่า คนในบริษัทเรียกอาร์โนลต์ว่า “บีเอ” ซูซี เมนเคสนักวิจารณ์แฟชัน กล่าวถึงอาร์โนลต์ในอินเตอร์เนชันแนล เฮรัลด์ ทริบูนเมื่อปี 2542ว่า “เทพแห่งโลโก้” ทั้งยังยกนิ้วให้กับความสำเร็จของเขาทั้งตอนนั้นและตอนนี้

“เป้าหมายคือมีความร่วมสมัย ทันสมัย ทำให้แบรนด์พูดภาษาสากล โดยอาร์โนลต์ยืนกรานว่าเขาห่วงเรื่องการรักษาอัตลักษณ์ของแต่ละแบรนด์มากที่สุดภายใต้โครงสร้างองค์กรแบบกระชับ” เมนเคสกล่าว ซึ่งกลยุทธ์นี้ทำให้ทุกแบรนด์ของแอลวีเอ็มเอชเป็นอิสระและมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น

สำหรับแผนการในอนาคต แอลวีเอ็มเอชเป็นกิจการในครอบครัว ลูกทั้งห้าคนทำงานกับอาร์โนลต์ตามความสามารถ ส่วนตัวเขาเป็นคนแต่งตัวเนี้ยบ แต่ต้องการความเป็นส่วนตัวมาก เพื่อนร่วมงานไม่ค่อยพูดถึงเขา ด้านความชอบส่วนตัวอาร์โนลต์เล่นเทนนิสเก่ง ชอบเสียงเพลงและสะสมงานศิลปะ

เมื่อเร็วๆ นี้อาร์โนลต์เป็นข่าวดังใกล้บ้านเรา ช่วงปลายเดือน มิ.ย. เขาเดินทางเยือนจีนไปเมืองเฉิงตูและเซี่ยงไฮ้ แน่นอนว่าระดับเจ้าพ่อแบรนด์เนมมาทั้งทีก็ต้องไปเยือนห้างสรรพสินค้า ส่วนลูกค้าที่เดินห้างเมื่อทราบข่าวว่าอภิมหาเศรษฐีเจ้าของแอลวีเอ็มเอชมาก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตา เพราะนี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะได้เศรษฐีโลกตัวจริง ผู้คนกระตือรือร้นกับการมาของเขาและยกย่องให้เป็น “เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง” และแม้ไปไหนมาไหนจะมีผู้คนตามไปทุกที่แต่อาร์โนลต์ยังมีเวลาแวะดูร้านค้าของแอลวีเอ็มเอชหลายร้าน

คนที่ร่วมทีมไปกับอาร์โนลต์มีทั้ง เดลฟีน อาร์โนลต์ ลูกสาวผู้ดำรงตำแหน่งประธานและซีอีโอคริสเตียน ดิออร์ กูตูร์, ฌ็อง อาร์โนลต์ ลูกชายคนเล็ก ประธานฝ่ายการตลาดและพัฒนานาฬิกาหลุยส์วิตตอง, ไมเคิล ชริเวอร์ ประธานแอลวีเอ็มเอชเอเชียเหนือ, ชาร์ลส เดอลาปาล์ม ซีอีโอคริสเตียน ดิออร์ กูตูร์, ปีเอโตร เบ็กคารีซีอีโอหลุยส์ วิตตอง โดยมีผู้บริหารห้างท้องถิ่นหลายคนคอยต้อนรับ

“อากาศดีมาก คนแน่นห้าง คุณเบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ใจดี มีมาด และมีความสุขกว่าตอนมาครั้งก่อน” มอลลี อู๋ ผู้จัดการทั่วไปห้างชิโน-โอเชีย ไท่กู๋หลี เฉิงตู โพสต์ข้อความบน “เสี่ยวหงซู” แพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซยอดนิยม

 สำหรับแบรนด์แอลวีเอ็มเอช จีนแผ่นดินใหญ่กลายเป็นตลาดสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ นักช้อปจีนต่างแห่ชอปปิงกระเป๋าและเครื่องประดับหรูในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 หลังจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 หนุนราคาหุ้นบริษัทพุ่งเป็นประวัติการณ์ และทำให้ธุรกิจกลายเป็น 1 ใน 10 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก