ดีมานด์ตลาดเสื้อผ้าสหรัฐแผ่ว ฉุดส่งออกสิ่งทอจากเอเชีย

ดีมานด์ตลาดเสื้อผ้าสหรัฐแผ่ว ฉุดส่งออกสิ่งทอจากเอเชีย

ดีมานด์ตลาดเสื้อผ้าสหรัฐแผ่ว ฉุดส่งออกสิ่งทอจากเอเชีย ขณะผลสำรวจล่าสุดเผย 36% ของกลุ่มธุรกิจในผลสำรวจมองว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นความเสี่ยงสูงสุดในปัจจุบัน

ความต้องการสินค้าประเภทเสื้อผ้า และสิ่งทอจากตลาดสหรัฐลดลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่กอุตสาหกรรมสิ่งทอในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมรับจ้างผลิตให้แก่แบรนด์เสื้อผ้าแฟชันชั้นนำของโลก โดยเฉพาะบริษัทสัญชาติอเมริกัน เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐแผ่วลง ทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญและนักธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้พากันคาดการณ์ว่า ปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และภาวะขาลงทางเศรษฐกิจจะฉุดความต้องการในอุตสาหกรรมสิ่งทอให้ลดลงมากกว่านี้

รายงานเกี่ยวกับสิ่งทอเอเชียที่ได้รับผลกระทบจากความต้องการในตลาดสหรัฐ มีขึ้นในช่วงเดียวกับที่ ออกซฟอร์ด อีโคโนมิกส์  เผยผลสำรวจฉบับล่าสุดระบุว่า กลุ่มธุรกิจมองว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ถือเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุดต่อเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน

" เจมี ธอมป์สัน" หัวหน้าสถานการณ์มหภาคและผู้จัดทำผลสำรวจฉบับดังกล่าวระบุว่า ผลสำรวจฉบับนี้ "ยืนยัน" ว่า กลุ่มธุรกิจมีมุมมองเกี่ยวกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน

“ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ขณะนี้ถือเป็นข้อกังวลหลัก ทั้งในระยะใกล้และระยะกลาง” ธอมป์สัน ระบุ

ประมาณ 36% ของกลุ่มธุรกิจในผลสำรวจมองว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นความเสี่ยงสูงสุดในปัจจุบัน เช่น ความตึงเครียดที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน เกาหลีใต้ และรัสเซีย-องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต)

ในทางตรงกันข้าม ผลสำรวจที่จัดทำเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจมองว่า ภาวะตึงตัวของอุปทานสินเชื่อหรือวิกฤตการณ์การเงินอย่างเต็มรูปแบบเป็นความเสี่ยงสูงสุดต่อเศรษฐกิจในระยะใกล้

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ผลสำรวจความเสี่ยงโลก 2566 ฉบับล่าสุดประจำไตรมาส 3 ครอบคลุมธุรกิจ 127 ราย และจัดทำระหว่างวันที่ 27 ก.ค.ปีนี้

ผลสำรวจชิ้นนี้จัดทำขึ้นท่ามกลางความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยปัญหาระหว่างสหรัฐและจีน หลังความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีของทั้งสองประเทศดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดในรอบหลายปี โดยความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นหลังสหรัฐยิงบอลลูนสอดแนมของจีนที่ลอยอยู่เหนือน่านฟ้าสหรัฐ

ดีมานด์ตลาดเสื้อผ้าสหรัฐแผ่ว ฉุดส่งออกสิ่งทอจากเอเชีย

 บรรดาผู้ผลิตสิ่งทอและรองเท้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับรู้ได้ว่าปริมาณการค้ากับสหรัฐในปีนี้ลดลง เนื่องจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทำให้ผู้บริโภคไม่กล้าใช้จ่าย หรือหากจะต้องใช้จ่ายก็เป็นการใช้จ่ายที่ประหยัด ทำให้บรรดาผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าบรรยากาศอุตสาหกรรมสิ่งทอจะย่ำแย่กว่าที่เป็นอยู่

รายงานวิเคราะห์ข้อมูลด้านศุลกากรของสหรัฐจัดทำโดยนิกเคอิ เอเชีย ระบุว่า มูลค่าของการจำหน่ายเสื้อผ้าและรองเท้าจากบรรดาผู้ผลิตในกัมพูชา บังกลาเทศ เมียนมา และเวียดนามปรับตัวร่วงลงระหว่าง20% และ 30% ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้   ขณะที่การส่งออกผลิตภัณธ์แบบเดียวกันไปยังสหภาพยุโรป(อียู)ก็เริ่มชลอตัวลง 

ตัวเลขของทางการระบุว่า การส่งออกสิ่งทอของบังกลาเทศไปยุโรปหดตัวประมาณ 3%  เช่นเดียวกับการส่งออกของกัมพูชาที่ลดลงเล็กน้อย แต่การส่งออกสิ่งทอของเวียดนามไปอียูกลับเพิ่มขึ้นเกือบ 20% ในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. ขณะที่การส่งออกไปอียูของเมียนมายังคงเพิ่มขึ้นในตัวเลขหลักเดียว แต่ตัวเลขที่มีการเปิดเผยเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่า การส่งออกของสิ่งทอลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านี้    

การส่งออกที่ปรับตัวลงมีขึ้นในช่วงที่หลายประเทศทั่วโลกเปิดพรมแดน ทำให้การขนส่งสินค้าประเภทต่างๆฟื้นตัวกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งการขนส่งไปยังตลาดสหรัฐและยุโรป   

ข้อมูลจากกรมศุลกากรกัมพูชา ระบุว่า  ยอดส่งออกช่วง 4 เดือนแรกของกัมพูชา ที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกสิ่งทอ รองเท้าและผลิตภัณฑ์ด้านการเดินทางประเภทต่างๆ ปรับตัวลง 30%     

“เคน  ลู” เลขาธิการสมาคมผลิตภัณฑ์เพื่อการเดินทาง,รองเท้า,เสื้อผ้าและสิ่งทอของกัมพูชา(ทีเอเอฟทีเอซี)  กล่าวว่า ภาวะเงินเฟ้อ และภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาลงจากผลพวงการทำสงครามที่ยืดเยื้อระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่เริ่มส่งผลชัดเจนตั้งแต่ปีที่แล้วและมีความเป็นไปได้สูงว่าจะซบเซาไปจนตลอดปี 2566   

อย่างไรก็ตาม แม้อุตสาหกรรมสิ่งทอโลกจะมียอดสั่งซื้อลดลงเพราะความต้องการจากตลาดสหรัฐกำลังมีปัญหา แต่ก็ยังไม่ปรากฏตัวเลขว่าแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ที่มีมูลค่า 11,000 ล้านดอลลาร์และมีการจ้างงานจำนวนกว่า 700,000 คน ตกงานจำนวนมาก

ขณะที่การส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าของเมียนมาไปยังสหรัฐและยุโรปไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก หลังจากอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโรคโควิด-19 และการทำรัฐประหารของกองทัพ ที่ทำให้บรรดาบริษัทเสื้อผ้าและสิ่งทอต่างชาติจำนวนมากพร้อมใจกันตัดสัมพันธ์ทางการค้ากับบริษัทเมียนมาเพราะวิตกกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสภาพความเป็นอยู่ของแรงงานผลิตเสื้อผ้าภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร

ส่วนมอสตาฟิซ อุดดิน  กรรมการผู้จัดการโรงงานผลิตสิ่งทอชื่อ บังกลาเทศ เดนิม เอ็กซ์โป แอนด์ บังกลาเทศ แอพพาเรล เอ็กซ์เชนจ์ (บีเออี) กล่าวว่า “ตอนนี้ออเดอร์สั่งซื้อเสื้อผ้าลดลง และโรงงานผลิตหลายแห่งไม่ได้เดินสายการผลิตเต็มที่ หมายความว่าแรงงานมีชั่วโมงการทำงานน้อยลงและได้ค่าล่วงเวลาน้อยลง ผมคิดว่าสถานการณ์นี้จะดำเนินไปอย่างน้อยก็สองสามเดือนข้างหน้า และเชื่อว่าออร์เดอร์สินค้ายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ค้าปลีกหลายรายยังคงต้องเคลียร์สินค้าที่ค้างในโกดังให้หมดก่อน”