เฟดเผย เงินออมครัวเรือนสหรัฐเริ่มหมด เสี่ยงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก อ้างอิงผลการศึกษาการเงินภาคครัวเรือน ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เผยเมื่อวันจันทร์ (25 ก.ย.) ว่า ชาวอเมริกันที่ไม่ใช่กลุ่มคนร่ำรวยที่สุด 20% ของสหรัฐ ใช้เงินออมพิเศษจนหมด และเหลือเงินสดในมือน้อยกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19

รายได้ ยอดเงินฝาก และทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องอื่น ๆ ของครัวเรือนสหรัฐ 80% จากระดับล่างสุด  ในเดือน มิ.ย. มีน้อยกว่าทรัพย์สินเมื่อเดือน พ.ค. 2563 หลังเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น

ผลสำรวจของเฟด พบว่า ทุกกลุ่มรายได้มียอดเงินคงเหลือลดลงจากจุดสูงสุดในปี 2564 แต่มีเพียง 1 ใน 5 ของครัวเรือนที่รวยที่สุด ที่มีเงินออมในปัจจุบัน มากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19

ในทางกลับกัน ชาวอเมริกัน 2 ใน 5 ที่จนที่สุด มีเงินออมลดลง 8% ในช่วงเวลาเดียวกัน และกลุ่มครัวเรือนอีก 40% ถัดมาซึ่งเป็นกลุ่มที่ใกล้เคียงกับกลุ่มชนชั้นกลางในสหรัฐ มีเงินออมลดลงน้อยกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ในช่วงไตรมาสก่อน

ตัวเลขดังกล่าว บ่งชี้ถึงอำนาจการซื้อของลูกค้าน้อยลง ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้เป็นคนที่ช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในปีนี้ และห่างไกลจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามที่หลายคนคาดไว้ แต่นักวิเคราะห์บางคน เตือนว่า ภาวะถดถอยยังคงมีโอกาสเกิดขึ้น เพราะครัวเรือนมีเงินสดสำรองเหลือน้อยแล้ว

ด้านธนาคารกลางซานฟรานซิสโก คาดว่า ปริมาณสะสมของเงินออมส่วนเกิน อาจหมดเกลี้ยงในไตรมาสปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของเฟด เผยว่า ความมั่งคั่งครัวเรือนโดยรวมแล้วเพิ่มขึ้น 5.5 ล้านล้านดอลลาร์ สู่ระดับสูงสุดในช่วงเดือน เม.ย. มาจากทรัพย์สินด้านที่อยู่อาศัย (ความมั่งคั่งในรูปแบบสภาพคล่องต่ำ) และมีรายได้จากหุ้น ซึ่งเจ้าของหุ้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครัวเรือนที่ร่ำรวย

นอกจากนี้ ผลสำรวจของเฟด บ่งบอกถึงแนวทางการใช้เงินของครัวเรือนที่ไม่ปกติ หลังโควิดซาลง เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งก่อน

ทั้งนี้ การสนับสนุนทางการเงินก้อนใหญ่จากรัฐบาล และการประหยัดอดออมในช่วงล็อกดาวน์ประเทศ ช่วยให้ชาวอเมริกันมีเงินสดส่วนเกินสะสมจำนวนมาก ทำให้อำนาจการใช้จ่ายของประชาชน ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้เงินในมือประชาชนเริ่มเหลือน้อยแล้ว