ไอเอ็มเอฟคงจีดีพีโลกขยายตัว 3% จับตาใกล้ชิดการสู้รบ'อิสราเอล-ฮามาส'
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) คงคาดการณ์การเติบโตของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)โลกไว้ที่ 3% พร้อมทั้งเตือนว่าเศรษฐกิจโลกยังอ่อนแอ และจับตาสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและฮามาสอย่างใกล้ชิด
นายปิแอร์-โอลิวิเยร์ กูรินชาส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ กล่าวระหว่างการประชุมประจำปีของไอเอ็มเอฟเมื่อวันอังคาร(10ต.ค.)ว่าเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะที่ขับเคลื่อนแบบอ่อนกำลังไม่ใช่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และเศรษฐกิจโลกเริ่มตกต่ำลงเนื่องจากรอยร้าวระหว่างตะวันออกและตะวันตกที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้จะอยู่ที่ 3% และจะขยายตัวช้าลงในปีหน้า ที่ 2.9% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่กระทบต่อการค้าเสรีทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงครามรัสเซียบุกยูเครนที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2565 รวมทั้งการลดการพึ่งพาจีนมากขึ้น
นักวิเคราะห์ของไอเอ็มเอฟ ประเมินว่า การสู้รบระหว่างอิสราเอลและฮามาส อาจขยายความขัดแย้งระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตกออกไปอีก ส่งผลกระทบต่อการค้าในตะวันออกกลาง ก่อต้นทุนด้านน้ำมันทั่วโลกเพิ่มขึ้น ทั้งยังซ้ำเติมสถานการณ์ราคาน้ำมันที่อยู่ในช่วงขาขึ้นเพราะสงครามรัสเซีย-ยูเครนด้วย
ขณะที่อาเจย์ บังกา กรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์ กล่าวว่า การสู้รบระหว่างอิสราเอลและฮามาสจนนำความเสียหายแก่ชีวิตผู้คนจำนวนมากเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษยธรรม และเป็นการแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจที่ไม่มีใครต้องการ
อย่างไรก็ตาม หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ บอกว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไป ที่จะประเมินว่าเหตุรุนแรงในอิสราเอลจะกระทบเศรษฐกิจโดยรวมอย่างไรและมากแค่ไหน แต่หากความขัดแย้งยืดเยื้อ ต้นทุนราคาน้ำมันจะพุ่งสูงถึง 10% กระทบต่อจีดีพีโลกประมาณ 0.15% และทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นประมาณ 0.4%