มองอาร์เจนตินากลับมาเป็นข่าว | ไสว บุญมา
ชาวอาร์เจนตินาออกมาย้ำความเชื่อมั่น ในการใช้ประชาธิปไตยในประเทศของตนอีกครั้ง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่ออกมาใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกผู้สมัครเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป
ในบรรดาผู้สมัคร 5 คน ไม่มีผู้ใดได้รับคะแนนสูงพอตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ ชาวอาร์เจนตินาจึงจำเป็นต้องออกมาใช้สิทธิ์อีกครั้ง เพื่อเลือกระหว่างผู้ได้รับคะแนนสูงสุดและรองลงมาในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2566
ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุด (36% ของผู้ออกมาใช้สิทธิ์) เป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจในรัฐบาลปัจจุบัน การได้รับคะแนนสูงเป็นลำดับต้นของเขานี้ผู้สันทัดกรณีมองว่าเหนือความคาดหมาย
ทั้งนี้เพราะในการออกเสียงเบื้องต้นเมื่อเดือนสิงหาคม เขาเข้ามาเป็นลำดับ 2 และในช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจของอาร์เจนตินามิได้เปลี่ยนไปในทางดีอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ อาร์เจนตินายังตกอยู่ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งแสดงอาการออกมาผ่านอัตราเงินเฟ้อสูงถึงเกือบ 140% ต่อปี
อัตราเงินเฟ้อสูงขนาดนี้มีผลร้ายต่อคนทั่วไป โดยเฉพาะผู้มีรายได้คงที่และผู้มีความยากจนเป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว
ในปัจจุบัน ชาวอาร์เจนตินาราว 40% มีรายได้ต่ำมากจนถูกจัดให้เป็นผู้ยากจน อาร์เจนตินาต้องเผชิญกับปัญหาที่ประดังเข้ามาอย่างต่อเนื่องเพราะความผิดพลาดได้สั่งสมมาเป็นเวลานาน
ในขณะนี้ อาร์เจนตินาเป็นหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ถึง 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์ นับว่าเป็นภาระหนี้ต่อไอเอ็มเอฟสูงที่สุดในโลก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวอาร์เจนตินาจำนวนมาก ลงคะแนนให้รัฐมนตรีที่ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้เป็นที่ประจักษ์ คงได้แก่ การมองว่าผู้สมัครอีก 4 คนก็คงแก้ปัญหาไม่ได้มากไปกว่ากัน
ในวันที่ 19 พฤศจิกายน พวกเขาจะต้องเลือกระหว่างผู้สมัครคนนี้กับผู้ได้คะแนนเสียงรองลงมา (30% ของผู้ออกมาใช้สิทธิ์) ซึ่งเคยได้คะแนนสูงสุดในการลงคะแนนเบื้องต้นเมื่อเดือนสิงหาคม
ปัจจัยที่ทำให้เขาเข้ามาเป็นลำดับรองในการลงคะแนนรอบ 2 คงได้แก่ ชาวอาร์เจนตินาเริ่มมองว่าข้อเสนอต่าง ๆ ของเขาอาจจะทำให้ปัญหาสาหัสขึ้นมากกว่าลดลง
เช่น เขาเสนอให้ยุบธนาคารกลางพร้อมกับเงินสกุลเปโซของชาติ แล้วนำเงินดอลลาร์สหรัฐมาใช้แทน ชาวอาร์เจนตินาคงตระหนักดีว่ามาตรการอันมีค่าทำกับการเสียเอกราชไปส่วนหนึ่งนี้จะแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมีประเทศในละตินอเมริกาทำมาแล้ว เช่น ปานามา เอลซัลวาดอร์และเอกวาดอร์
นอกจากนั้น เขายังเสนอมาตรการที่ชาวอาร์เจนตินาส่วนใหญ่คงรับไม่ได้อีกด้วย เช่น ลดงบประมาณรัฐบาล โดยการตัดเงินสนับสนุนสวัสดิการสังคมและยกเลิกกระทรวงซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม สตรี กีฬาและสิ่งแวดล้อม
อนึ่ง แม้อัตราเงินเฟ้อในอาร์เจนตินาจะสูงถึงเกือบ 140% แต่สำหรับชาวอาร์เจนตินาที่มีอายุในวัยกลางคนขึ้นไปอาจมองว่ามันไม่มากเนื่องจากพวกเขาเคยเผชิญปัญหาที่สาหัสกว่ามามากแล้ว เช่น อัตราเงินเฟ้อสูงเกิน 20,000% เมื่อปี 2533
อัตราเงินเฟ้อที่สูงติดต่อกันมาเป็นเวลานานเป็นปัจจัยทำให้ชาวอาร์เจนตินาประสบปัญหาความยากจนเพิ่มขึ้น ทั้งอัตราเงินเฟ้อและความยากจนเป็นผลพวงของนโยบายประชานิยม ซึ่งทำให้อาร์เจนตินาประสบภาวะล้มละลายครั้งแรกเมื่อปี 2499
คงเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วว่า อาร์เจนตินาเคยมีระดับการพัฒนาสูงกว่าแคนาดาและทัดเทียมกับฝรั่งเศสและเยอรมนี
ก่อนที่จะเริ่มใช้นโยบายประชานิยมแบบเลวร้ายครั้งแรกเมื่อปี 2459 นโยบายนั้นทำให้ชาวอาร์เจนตินาเสพติดจนเลิกไม่ได้ส่งผลให้กลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีปัญหาสาหัสเป็นระยะ ๆ มาเป็นเวลานาน
เมื่อชาวอาร์เจนตินาออกมาตัดสินในวันที่ 19 พฤศจิกายนว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีในช่วง 4 ปีข้างหน้าอาจคาดเดาได้ว่ารัฐมนตรีเศรษฐกิจจะได้รับเลือก
ทั้งนี้เพราะในภาวะที่มีทั้งอัตราเงินเฟ้อสูงและอัตราความยากจนสูง เงินสนับสนุนสวัสดิการจากรัฐบาลมีความสำคัญสูงขึ้นด้วย ส่วนใหญ่จึงคงไม่กล้าเสี่ยงเลือกผู้ที่จะตัดสวัสดิการ
นอกจากนั้น พวกเขาคงไม่ต้องการเสียเอกราชโดยปริยายโดยการนำเงินดอลลาร์สหรัฐเข้ามาใช้แทนเงินเปโซของตนแม้ในปัจจุบันมีการใช้ดอลลาร์อย่างกว้างในภาคเอกชนแล้วก็ตาม
หากถามว่าประธานาธิบดีคนใหม่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้หรือไม่ ประวัติศาสตร์บ่งว่าถ้าแก้ได้ก็จะเป็นเพียงในระดับหนึ่งและเป็นแบบชั่วคราวเท่านั้น ทั้งนี้เพราะรากเหง้าของปัญหาที่มาจากประชานิยมแบบเลวร้ายจะมิได้ถูกถอนออกไปให้หมดสิ้นด้วย