ใครว่าคนรุ่นใหม่ไม่ซื้อทอง จีน-สหรัฐ หันตุนทองคำ-ETF

ใครว่าคนรุ่นใหม่ไม่ซื้อทอง จีน-สหรัฐ หันตุนทองคำ-ETF

“ทองคำ” เคยได้ชื่อว่าเป็นการลงทุนของคนแก่ที่ไม่กล้าออกนอกกรอบไปแสวงหาผลตอบแทนสูงในรูปแบบอื่นๆ แต่มาวันนี้เมื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังพังทลาย หุ้นร่วง ค่าเงินอ่อน ดอกเบี้ยต่ำ จึงกำลังทำให้คนรุ่นใหม่ในจีนมุ่ง ‘ตุนทอง’ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แม้ว่าการลงทุนทองคำในจีนซึ่งเป็นตลาดค้าทองที่จับต้องได้ (physical gold) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะไม่เคยแผ่วลงอย่างจริงจัง แต่เทรนด์ใหม่ล่าสุดอย่างหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นในจีนก็คือ ผู้ซื้อทองในกลุ่มรายย่อย “กำลังมีอายุลดลงอย่างต่อเนื่อง”

รอยเตอร์สรายงานอ้างข้อมูลจากสมาคมค้าทองในจีนว่า ท่ามกลางปัญหาตลาดอสังหาริมทรัพย์ขาลง ตลาดหุ้นอ่อนแรง ค่าเงินอ่อนค่า และดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ ท่ามกลางแนวโน้มที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก กำลังทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ในจีนเหลือทางเลือกน้อยลงเข้าไปทุกทีในการลงทุน และดันให้พวกเขากำลังมุ่งหน้าสู่เส้นทางทองคำอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“ตลาดการจ้างงานก็ไม่ค่อยดี การซื้อทองเก็บทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้น ถ้าเลือกได้ในงานแต่งงานฉันอยากได้ทองรูปพรรณมากกว่าเพชรเสียอีก” ลินดา หลิว พนักงานสาววัย 26 ปี ของบริษัทยาแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งกล่าว

ทั้งนี้ จีนถือเป็นตลาดที่มีผู้ซื้อทองแบบจับต้องได้มากที่สุดในโลก และปีนี้ยังเป็นปีที่มีปัจจัยขับเคลื่อนครั้งสำคัญสนับสนุนเมื่อราคาทองคำตลาดโลกพุ่งขึ้นทุบสถิติสูงสุด หรือ All-time high ไปเมื่อวันจันทร์ที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยราคาทองสปอตขึ้นไปแตะรระดับ 2,135.39 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่สัญญาทองคำในตลาดโคเม็กซ์ขึ้นไปแตะระดับ 2,152.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ใครว่าคนรุ่นใหม่ไม่ซื้อทอง จีน-สหรัฐ หันตุนทองคำ-ETF

บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าความต้องการซื้อทองคำของคนจีนในฐานเซฟเฮเวนจะยังสูงอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีสัญญาณชะลอตัวลงในอนาคตอันใกล้ และกระแสเงินทุนไหลออกจากจีนที่กดดันค่าเงินหยวน ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ยังไม่มีแววว่าจะฟื้นตัวได้ในเร็ววัน

“รายได้ไม่เพิ่มขึ้น ตลาดอสังหาฯ ยังไม่ฟื้น ตลาดหุ้นก็ไม่ฟื้น ทองคำจึงเป็นเหมือนยูนิคอร์นตัวเดียวในภาวะเช่นนี้” ฌักส์ รอยเซ็น กรรมการผู้จัดการบริษัทที่ปรึกษา ดิจิทัล ลักชัวรี กรุ๊ป ในเซี่ยงไฮ้กล่าว

ขณะที่ข้อมูลการซื้อขายทองของรายย่อยบ่งชี้ว่า เครื่องประดับทองและเงินกำลังเป็นการลงทุนในมาแรงในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคในจีนปีนี้ โดยเติบโตขึ้นถึง 12% ในแง่มูลค่า ระหว่างเดือน ม.ค.- ต.ค. 2566 ชนะทุกสินค้าในหมวดนี้ยกเว้นเพียงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเท่านั้น

ผลการสำรวจของบริษัทเครื่องประดับชื่อดัง Chow Tai Fook เมื่อปลายเดือน ส.ค. ที่ผ่านมาพบว่ามีผู้บริโภคถึง 70% อายุระหว่าง 18 - 40 ปี ที่ตั้งใจว่าจะซื้อทองรูปพรรณเก็บสะสมไว้ ขณะที่กลุ่มผู้ซื้อทองรูปพรรณนั้นแม้โดยทั่วไปจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุเป็นหลัก แต่ก็พบด้วยว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่วัย 18-24 ปี หันมาเริ่มซื้อทองกันมากขึ้น

ใครว่าคนรุ่นใหม่ไม่ซื้อทอง จีน-สหรัฐ หันตุนทองคำ-ETF

ตามแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในจีนซึ่งมีการพูดคุยกันเรื่องการลงทุนทองคำของคนรุ่นใหม่ พบว่า สมาชิกหลายคนแนะนำให้เริ่มลงทุนในทองรูปพรรณเล็กๆ ที่เริ่มตั้งแต่ขนาด “เมล็ดถั่ว” หรือเม็ดทองคำขนาดเริ่มต้น 1 กรัม ซึ่งมีราคาประมาณ 450 - 550 หยวน (ราว 2,227 - 2,722 บาท)

ฉือวัย 21 ปี ซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง กล่าวว่า เธอเก็บออมเงินจากค่าขนมในแต่ละวันไปซื้อทอง โดยซื้อทั้งทองคำแท่งและทองรูปพรรณรวมแล้วกว่า 2,000 ดอลลาร์ (ราว 7 หมื่นบาท) ในปีนี้ โดยให้เหตุผลว่าการลงทุนในทองเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกเชื่อมั่นและปลอดภัย ในยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำเกินไป และการซื้อหุ้นก็เสี่ยงเกินไป ซึ่งเธอมีแผนจะซื้อทองให้ได้อย่างน้อยปีละ 20 กรัม

ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารขนาดใหญ่ในจีนอยู่ที่ระหว่าง 1.5 - 1.8% โดยเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 2- 3 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ จีนและอินเดียซึ่งเป็นสองประเทศที่มีการซื้อทองคำมากที่สุดในโลก มีความต้องการบริโภคทองคำรวมกันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก โดยในจีนนั้น ทองคำมีการซื้อขายกันในราคาพรีเมียมที่ราคาทองสปอตโลก และมีสเปรดอยู่ที่ระหว่าง 25 - 35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งลดลงมาจากระดับสูงสุดทุบสถิติ 121 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อกลางเดือน ก.ย. แต่ก็ยังถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5-15 ดอลลาร์ต่อออนซ์

.

‘มิลเลนเนียล’ สหรัฐลงทุนมากกว่า ‘Gen X-เบเบี้บูมเมอร์’

ส่วนในสหรัฐนั้นผลสำรวจของเว็บไซต์สเตทสตรีทพบว่า คนรุ่นมิลเลนเนียล หรือ Gen Y ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี 1981 - 1996 เป็นกลุ่มวัยที่มีการลงทุนทองคำในพอร์ตมากกว่าคนรุ่น Gen X และ เบบี้บูมเมอร์ โดยมีสัดส่วนการลงทุน 17% ในขณะที่คนสูงวัยสองรุ่นก่อนลงทุนเฉลี่ยเพียง 10%

อย่างไรก็ดี การลงทุนในทองของคนรุ่นใหม่จะเน้นรูปแบบกองทุนอีทีเอฟทองคำ (Gold ETF) เป็นหลัก โดยมิลเลนเนียลถึง 65% เชื่อว่าอีทีเอฟเป็นวิธีที่ดีที่สุดของการลงทุนในทองคำ เมื่อเทียบกับกลุ่มเจน X ที่ 35% แม้ว่าจะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคา และเป็นสัญญาซื้อขายที่เสี่ยงมากกว่าการลงทุนในทองคำที่จับต้องได้ก็ตาม ขณะที่กลุ่มวัยเจน X ขึ้นไปส่วนใหญ่ยังเชื่อในการลงทุนทองคำแบบจับต้องได้มากกว่า

นักลงทุนราว 88% ที่ลงทุนในทองมองว่าเป็นการลงทุนระยะยาว และกว่า 70% เห็นว่าการกระจายการลงทุนไปยังทองคำช่วยให้พอร์ตการลงทุนของตนเองมีผลประกอบการดีขึ้น ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่าครึ่งระบุว่ามีแผนจะลงทุนในทองคำเพิ่มในช่วง 6 - 12 เดือนข้างหน้า

ทั้งนี้ ผลสำรวจดังกล่าวเปิดเผยในช่วงปลายไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาทองคำเริ่มขึ้นมายืนอยู่เหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่ออออนซ์ เนื่องจากทิศทางดอลลาร์เริ่มอ่อนค่าลง จากการเก็งกำไรว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ดันให้ราคาทองกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง

 

หนุ่มสาวเกาหลีใต้หวนคืนสู่ ‘คริปโท’ รับราคาฟื้น 40,000 ดอลลาร์

บลูมเบิร์กรายงานว่า ตลาดซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีในเกาหลีใต้เริ่มฟื้นตัวกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากที่ราคาบิตคอยน์กลับมาพุ่งขึ้นกว่า 50% แตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี แม้ว่าวงการคริปโทฯจะเต็มไปด้วยข่าวร้ายก่อนหน้านี้ก็ตาม ตั้งแต่การล่มสลายของบริษัทเทอร์ราฟอร์ม แลบส์ ในเกาหลีใต้ ไปจนถึงแพลตฟอร์มเอฟทีเอ็กซ์ ในสหรัฐ และล่าสุดกับคดีของไบแนนซ์

ใครว่าคนรุ่นใหม่ไม่ซื้อทอง จีน-สหรัฐ หันตุนทองคำ-ETF

ข้อมูลจากซีซีดาต้าระบุว่าในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา เงินวอนเกาหลีใต้เป็นสกุลเงินที่มีการจับคู่ซื้อขายคริปโทฯมากที่สุดแซงหน้าทุกสกุลเงินเป็นครั้งแรก โดยคิดเป็นสัดส่วน 42.8% และหากนับจากเดือน ก.ย. จนถึงปัจจุบัน การซื้อขายคริปโทด้วยเงินวอนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 17% ไปอยู่ที่ราว 41% แซงหน้าคู่เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 11% เป็น 40% เมื่อเทียบช่วงเดียวกัน

รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับแพลตฟอร์มคูคอยน์ ที่เป็น 1 ใน 5 เอ็กซ์เชนจ์คริปโทเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเปิดเผยรายงานผลการศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งานคริปโทฯในเกาหลีใต้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า เกาหลีใต้กำลังมีนักลงทุนคริปโทฯในวัย Gen Z หรือคนที่เกิดในช่วงปี 1997 - 2012 เพิ่มมากขึ้น

รายงานระบุว่า กลุ่มคนในวัยเจนซีถึง 35% เริ่มเข้ามาลงทุนคริปโทฯภายในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ 1 ใน 3 ของคนเจนซีและเจนวายจะลงทุนโดยเฉลี่ยมากกว่า 5 หมื่นวอน และในบรรดานักลงทุนรุ่นเจนซีนั้นจะมีสัดส่วนเป็นผู้หญิงมากถึง 67%

ขณะที่ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางปี ซีเอ็นบีซีได้รายงานอ้างข้อมูลร่วมจากสถาบันซีเอฟเอและมูลนิธิการศึกษาเพื่อการลงทุน ภายใต้คณะกรรมการกำกับดูแลอุตสาหกรรมการเงิน หรือฟินรา ว่า คริปโทฯคือการลงทุนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มคนวัยเจนซี โดยมีการลงทุนในสัดส่วนราว 55% รองลงมาคือการลงทุนในหุ้น 41% กองทุนรวม 35% เอ็นเอฟที 25% และบรรดากองทุนอีทีเอฟ 23%

รายงานระบุว่าการลงทุนในคริปโทฯถือเป็นเรื่องปกติของคนรุ่นใหม่ โดยคนกลุ่มนี้เติบโตขึ้นมาในยุคการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โซเชียลมีเดีย และสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น แต่นักวิเคราะห์ได้เตือนด้วยว่าการเคยชินกับการลงทุนในคริปโทฯซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้คนรุ่นใหม่ติดพฤติกรรมการลงทุนเสี่ยงเมื่อเติบโตขึ้นไปเป็นคนอีกเจเนอเรชันหนึ่ง