สิงคโปร์หวั่นปัญหาขัดแย้งทั่วโลกกระทบเศรษฐกิจปี 67
"ลี เซียนลุง" นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสิงคโปร์ในปี 2566 ขยายตัว 1.2% ซึ่งสูงกว่าที่กระทรวงการค้าสิงคโปร์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวเพียง 1% ซึ่งทำให้สิงคโปร์สามารถรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2566
ส่วนในปี 2567 ลี คาดว่าตัวเลขจีดีพีของสิงคโปร์จะขยายตัวราว 1% - 3%
ลี กล่าวสุนทพจน์เนื่องในวันปีใหม่เมื่อวันอาทิตย์ (31 ธ.ค.) ว่า ปี 2566 เป็นปีที่เศรษฐกิจสิงคโปร์เผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ซึ่งรวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังไม่มีแนวโน้มจบสิ้นลง พร้อมกับเตือนว่าสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในต่างประเทศอาจจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตและความมั่นคงของสิงคโปร์ เนื่องจากสิงคโปร์ต้องพึ่งพาการค้าโลก
"ในอีกหลายปีข้างหน้านี้ เราคาดว่าสภาพแวดล้อมในต่างประเทศจะไม่เอื้ออำนวยต่อความมั่นคงและความรุ่งเรืองของเรา เนื่องจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์มีแนวโน้มที่จะยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก" ลี กล่าว
ด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ลี วัย 71 ปี ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2547 และวางแผนที่จะส่งมอบตำแหน่งให้กับนายลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรี ในปี 2567 โดยในระหว่างกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันปีใหม่นี้ ลีเรียกร้องให้ชาวสิงคโปร์สนับสนุนผู้นำคนใหม่
ขณะที่ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยธนาคารกลางสิงคโปร์ระบุว่า การขยายตัวของจีดีพีปี 2567 ของสิงคโปร์จะอยู่ที่ 2.3% ลดลงจากการสำรวจในเดือนก.ย.ซึ่งอยู่ที่ 2.5%
ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของสิงคโปร์ซึ่งไม่นับรวมราคาการขนส่งและที่พักอาศัยของภาคเอกชนนั้น จะลดลงสู่ระดับ 3.4% และ 3% ตามลำดับในปี 2567 เมื่อเทียบกับตัวเลขในปี 2566
นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ทุกคนที่ได้รับการสำรวจต่างก็คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสิงคโปร์จะคงนโยบายการเงินในการประชุมเดือนม.ค. 2567 โดยธนาคารกลางสิงคโปร์ดำเนินนโยบายการเงินผ่านการกำหนดกรอบอัตราแลกเปลี่ยน แทนการปรับอัตราดอกเบี้ย