จับตาตึงเครียดคาบสมุทรเกาหลี หลัง‘คิม จองอึน’กำหนดรบ.โซล“ศัตรูหลัก”
จับตาตึงเครียดคาบสมุทรเกาหลี หลัง‘คิม จองอึน’กำหนดรบ.โซล“ศัตรูหลัก” และจะเข้ายึดครองดินแดนเมื่อเกิดสงคราม ขณะที่ประธานาธิบดียุน ซอกยอล ของเกาหลีใต้ ขู่ตอบโต้รุนแรงกว่าหลายเท่าหากถูกยั่วยุ
สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) ของทางการเกาหลีเหนือรายงานวันอังคาร (16 ม.ค.)ว่า คิม กล่าวในการประชุมสมัชชาประชาชนสูงสุดเมื่อวันจันทร์(15ม.ค.) โดยเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อระบุว่า“เกาหลีใต้ไม่ใช่คู่เจรจาเพื่อการปรองดองและการรวมชาติ แต่เป็นศัตรูหลักและศัตรูสำคัญถาวร
พร้อมทั้งระบุว่า “เกาหลีเหนือจะเข้ายึดครอง ควบคุม และผนวกเกาหลีใต้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของเกาหลีเหนือ ในกรณีที่เกิดสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี”
นอกจากนี้ ผู้นำเกาหลีเหนือยังสั่งยุบหน่วยงาน 3 แห่ง ที่ส่งเสริมการเจรจาและความร่วมมือระหว่างสองเกาหลี และสั่งให้กำจัดสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของการปรองดองระหว่างสองเกาหลี โดยให้ปิดทุกช่องทางการสื่อสารข้ามพรมแดน รวมถึงการรื้อทำลายรางรถไฟในฝั่งเกาหลีเหนือที่เชื่อมต่อกับเกาหลีใต้ นอกจากนี้ยังสั่งทำลายอนุสาวรีย์การรวมประเทศที่สร้างขึ้นในปี 2544 อีกด้วย
คิม จองอึน ยังย้ำว่าเกาหลีเหนือจะไม่หลีกเลี่ยงสงคราม แม้ไม่มีเจตนาเป็นฝ่ายเริ่มการสู้รบเพียงฝ่ายเดียว และประกาศว่าจะไม่ยอมรับเส้นแบ่งพรมแดนที่เรียกว่าแนวจำกัดตอนเหนือ (NLL) พร้อมกับขู่ด้วยว่า หากเกาหลีใต้ละเมิดอาณาเขตทั้งทางบก อากาศ และทางน้ำแม้เพียง 0.001 มิลลิเมตร จะถือว่าเป็นการยั่วยุก่อสงคราม เขาเตือนด้วยว่าสงครามจะทำลายล้างเกาหลีใต้จนสูญสิ้น และจะสร้างความพ่ายแพ้เกินจินตนาการให้กับสหรัฐฯ
การตัดสินใจของผู้นำเกาหลีเหนือ ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีเลวร้ายลงอีก หลังจากเกาหลีเหนือยิงปืนใหญ่หลายร้อยนัดใกล้พรมแดนทางทะเลในบริเวณทะเลเหลืองในเดือนนี้ ทำให้เกาหลีใต้จัดซ้อมรบกระสุนจริงเป็นการตอบโต้
ด้านประธานาธิบดียุน ซอกยอล ของเกาหลีใต้ กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารว่า “หากเกาหลีเหนือยั่วยุ กองทัพก็พร้อมลงโทษด้วยความรุนแรงยิ่งกว่าหลายเท่า” พร้อมทั้งวิจารณ์นโยบายสนับสนุนการปรองดองของอดีตประธานาธิบดีมุน แจ-อิน โดยบอกว่า“สันติภาพปลอม ๆ ที่ได้จากการยอมตามคำขู่เชิงยั่วยุ จะยิ่งทำให้ความมั่นคงของประเทศตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่า”
แต่ผู้นำเกาหลีเหนือไม่ได้แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ที่ชัดเจนต่อเกาหลีใต้อย่างเดียว โดยเกาหลีเหนือเดินหน้าทดสอบขีปนาวุธตั้งแต่เริ่มต้นปี 2567 ด้วยการทดสอบขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกอานุภาพสูงเป็นครั้งแรกของปีนี้ สร้างบรรยากาศความตึงเครียดทั้งต่อสหรัฐ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่เฝ้าจับตาเกาหลีเหนืออย่างเข้มข้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
แม้ว่าทางการเกาหลีเหนือจะยืนยันว่าการยิงขีปนาวุธในครั้งนี้ มุ่งทดสอบความน่าเชื่อถือของเครื่องยนต์เชื้อเพลิงแข็งและหัวรบไฮเปอร์โซนิกพิสัยปานกลาง ไม่ได้ก่อภัยคุกคามต่อประเทศเพื่อนบ้าน แต่กองทัพเกาหลีใต้ ประณามว่าการกระทำนี้ว่า ละเมิดคำสั่งห้ามของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเตือนว่าจะมีมาตรการตอบโต้พฤติกรรมยั่วยุอย่างแน่นอน
นอกจากเกาหลีเหนือแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศที่เคยทดสอบขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกมาแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ จีน และรัสเซีย
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเกาหลีเหนือมีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ทวีความตึงเครียด หลังจากที่เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปหลายครั้ง และยังประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียมสอดแนมทางทหารขึ้นสู่วงโคจรรอบโลก จนสร้างความกังวลต่อสหรัฐ และชาติพันธมิตร และประกาศจะตอบโต้ภัยคุกคามนี้เรื่อยมา
ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก ถูกใช้เพื่อส่งหัวรบออกไปโจมตีเป้าหมายด้วยความเร็วมากกว่า 5 เท่าของความเร็วเสียง หรือประมาณ 6,200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมักจะเดินทางในระดับเพดานบินที่ค่อนข้างต่ำแม้จะมีชื่อที่บ่งบอกถึงความเร็วเหนือเสียง แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่าจุดเด่นของขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกไม่ได้อยู่ที่ความเร็ว เพราะความเร็วไม่ต่างจากขีปนาวุธทิ้งตัวแบบดั้งเดิมนัก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ศักยภาพในการบังคับเปลี่ยนทิศทาง ซึ่งจะช่วยให้หลบหลีกระบบป้องกันของศัตรู
เมื่อปี 2021 เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกครั้งแรก มีหัวรบรูปทรงคล้ายเครื่องร่อน ออกแบบให้แยกออกจากจรวดบูสเตอร์ และร่อนเข้าหาเป้าหมายด้วยความเร็วเหนือเสียง