วัยทำงานสหรัฐ 40% เงินไม่พอใช้ ต้องทำงาน 2-3 อาชีพ หารายได้เพิ่ม!
ไทยเป็นเหมือนกันไหม? ผลสำรวจเผย ลูกจ้างสหรัฐ "ว่างงาน" มากที่สุดในรอบ 2 เดือน ขณะที่ "วัยทำงาน" 40% เงินไม่พอใช้ ต้องทำงานหลายอาชีพเพื่อหารายได้เพิ่ม บางคนรายจ่ายในครอบครัวสูง แม้มีรายได้จากงานเสริมก็ยังไม่มีเงินเก็บอยู่ดี!
ตลาดแรงงานในสหรัฐอาจกำลังประสบปัญหา “อัตราว่างงาน” เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด.. สำนักข่าวบลูกเบิร์กรายงานว่า แม้ในภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐจะยังคง “แข็งแกร่ง” แต่วัยทำงานชาวอเมริกันกลับรู้สึกท้อแท้กับ “โอกาสในการทำงาน” ของตน เนื่องจากไม่สามารถขยับโยกย้ายสู่งานที่ดีขึ้น หรืองานที่ได้เงินเดือนมากขึ้นได้ตามที่หวัง
ลูกจ้างชาวอเมริกันบางส่วนอาจรอดพ้นจากการเลิกจ้างพนักงานบริษัทจำนวนมาก (ผลจากการที่นายจ้างรัดเข็มขัด และการปรับโครงสร้างองค์กร นำมาสู่การเลย์ออฟครั้งใหญ่ในหลายๆ บริษัท) แต่พวกเขาจะเผชิญกับทางเลือกที่ลดน้อยลงในการเปลี่ยนตำแหน่งงาน และเด็กจบใหม่จำนวนมากก็กำลังดิ้นรนหาอาชีพที่ให้รายได้สูง ทำให้เกิดการแข่งขันกับแรงงานดั้งเดิมในตลาดงานมากขึ้น
ขณะที่นายจ้างหรือบริษัทผู้จ้างงาน ก็กำลังมีความต้องการแรงงานใหม่ลดลงเรื่อยๆ อย่างที่บอกไปว่าต้นปีนี้หลายๆ บริษัทรัดเข็มขัดมากขึ้น ปลดพนักงานเก่าออก และไม่จ้างพนักงานใหม่เพิ่ม ทั้งหมดนี้จึงส่งผลให้ “ตำแหน่งงานว่าง” ในตลาดงานลดลงเหลือเพียงน้อยนิด แต่จำนวนผู้สมัครงานกลับสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลสหรัฐได้เผยแพร่รายงานการจ้างงานในตลาดแรงงาน ซึ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง แต่นักเศรษฐศาสตร์มองว่า แม้ “อัตราการว่างงาน” ในภาพรวมจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ แต่ข้อมูลบางจุดก็ชี้ว่าอัตราว่างงานกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กล่าวคือ พบว่ากลุ่มวัยทำงานสหรัฐขอรับ “สวัสดิการว่างงานเพิ่มขึ้น” ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2567 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา โดยอิงจากข้อมูลรายสัปดาห์ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2567
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์สถานการณ์ตลาดแรงงานในสหรัฐในปี 2567 ดังนี้
1. ตลาดงานออฟฟิศ/งานบริษัท จะนิ่งเงียบ ไม่รับคนเพิ่ม!
ตามการคำนวณของบลูกเบิร์กโดยใช้ข้อมูลจากสำนักสถิติแรงงาน พบว่า ตำแหน่งงานที่ต้องการพนักงานที่จบปริญญาตรีกำลังลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะงานในอุตสาหกรรมที่มีค่าจ้างสูง เช่น บริษัทด้านเทคโนโลยี, บริษัทด้านการเงิน, บริษัทบริการด้านวิชาชีพและธุรกิจ ฯลฯ เหตุเพราะองค์กรอยู่ในช่วงรัดเข็มขัด ไม่ต้องการจ้างงานด้วยเงินเดือนสูงๆ แม้ผู้สมัครจะมีคุณสมบัติเพียบพร้อมตามอุดมคติที่บริษัทต้องการ แต่ก็อาจไม่ได้งาน เพราะตลาดงานชะลอตัวลง
2. ทำงานหลายอาชีพ/หางานเสริมหลายจ็อบ
ผลสำรวจโดย Harris Poll สำหรับ Bloomberg News ที่จัดทำขึ้นในเดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ระบุว่า 40% ของชาวอเมริกันทำงานมากกว่าหนึ่งงานในปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990
โดยวัยทำงานที่ทำงานมากกว่า 1 งาน ส่วนใหญ่รายงานว่า พวกเขาต้องการรายได้เสริมเพื่อให้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ และจุนเจือครอบครัว ในจำนวนนั้น 38% กล่าวว่า รายได้จากงานพิเศษที่ทำเสริมนั้น แทบจะไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายเดือน ได้มาแล้วก็จ่ายออกไปโดยไม่มีเงินเหลือเก็บเลย และ 23% ในจำนวนนั้นบอกว่า เหตุที่ต้องหางานอื่นๆ ทำเสริมเพราะมีเงินไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย
3. กอดงานเดิมเอาไว้ ไม่ลาออก! (ออกแล้วจะเอาอะไรกิน)
มีการคาดการณ์ว่าลูกจ้างในสหรัฐ “สมัครใจลาออกน้อยลง” โดยลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลเชิงวิเคราะห์ของ แอรอน โซเจอร์เนอร์ อดีตนักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของทำเนียบขาว เขาพบว่าหากเปรียบเทียบระดับการลาออกกับการเลิกจ้าง ทั้งสองอย่างนี้มีแนวโน้มลดลงเช่นกันในปีนี้ ในขณะที่ในปีนี้ลูกจ้างคิดมากขึ้น และชั่งใจมากขึ้นเกี่ยวกับลาออกจากงานเดิม อีกทั้งบางคนก็เลือกรับงานที่ไม่ตรงกับทักษะของตนทั้งหมด เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตกงาน
4. หางานยากขึ้น และใช้เวลารอให้ได้งานนานขึ้น
ในบรรดาผู้ที่ตกงาน การหางานใหม่ในช่วงนี้ทำได้ยากขึ้น ปัจจุบันผู้ว่างงานจะใช้เวลาเฉลี่ย 22 สัปดาห์ในการหางานใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงระยะเวลาที่นานที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 และเมื่อเปรียบเทียบระยะเวลาการรองานใหม่ของลูกจ้าง ระหว่าง “ช่วงปลายปี 2565” กับ “ช่วงปลายปี 2566” พบว่า ปี 2566 ผู้คนใช้เวลารองานใหม่นานกว่าปีที่แล้วถึง 12%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์