เกษียณในวัย 60+ เริ่มทำได้ยาก วิกฤติคนสูงวัยที่อาจต้องทำงานไปจนถึง 70
วันผู้สูงอายุ 13 เม.ย. เป็นวันที่ผู้สูงอายุหลายคนได้พักผ่อนเจอครอบครัวแบบพร้อมหน้าเนื่องในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ แต่หากดูสถานการณ์ผู้สูงอายุในหลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะเรื่อง "การเกษียณ" จะพบว่าเริ่มไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนสูงวัยแล้ว
"การเกษียณอายุ" ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่คนทำงานทั่วโลกใฝ่ฝันถึง ในสหรัฐนั้นอายุครบ 65 ปีถือเป็นประตูไปสู่การเกษียณอายุของคนทั่วไป ก่อนจะสามารถรับเงินบำเหน็จบำนาญอย่างเต็มรูปแบบ 100% ได้ในวัย 67 ปี
แต่ปัจจุบันความคิดที่จะเกษียณในช่วงวัย 60s เริ่มเป็นไปได้ยากขึ้นสำหรับหลายๆ คน ท่ามกลางชีวิตประจำวันที่มีราคาแพงขึ้นในยุคเงินเฟ้อ และการที่รัฐบาลเริ่มขยายอายุการรับเงินบำเหน็จบำนาญวัยเกษียณออกไป
ตั้งแต่ปี 2000 - 2019 อายุขัยโดยเฉลี่ยของคนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 67 ปี ไปเป็น 73 ปี และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ยังคาดการณ์ด้วยว่าภายในปี 2050 จะมีคนทั่วโลกมากถึง 1 ใน 6 ที่มีอายุครบ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งทำให้อาจต้องมีการทบทวนการกำหนดอายุเกษียณกันใหม่อีกครั้ง เพราะในหลายประเทศจะเข้าสู่ภาวะนี้เร็วกว่าค่าเฉลี่ยของยูเอ็น เช่น สหราชอาณาจักร ปี 2029, บราซิล ปี 2035, อินเดีย ปี 2048 และสหรัฐ ปี 2053
ในฝรั่งเศสเมื่อเดือน เม.ย.ปีที่แล้ว ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง เพิ่งลงนามบังคับใช้กฎหมายเพิ่มอายุเกษียณจาก 62 ปี เป็น 64 ปีตามแผนปฏิรูประบบบำนาญ ท่ามกลางเสียงประท้วงของประชาชน โดยฝรั่งเศสเคยปรับอายุเกษียณจาก 60 ปีเป็น 62 ปีไปแล้วครั้งหนึ่งในปี 2010
"อายุขัยโดยเฉลี่ยของคนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1850 ในสหราชอาณาจักร...แต่อายุเกษียณกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก" รีเบคก้า เซียร์ ศาสตราจารย์ด้านประชากรและสุขภาพจากโรงเรียนแพทย์ London School of Hygiene and Tropical Medicine กล่าวกับบีบีซี
Blackrock ชี้เกษียณวัย 65 แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
"แลร์รี ฟิงค์" (Larry Fink) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของกองทุน Blackrock ซึ่งเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่งออกจดหมายประจำปีถึงนักลงทุนเมื่อเดือนมี.ค. โดยมีการเตือนว่า การเกษียณในอายุ 65 ปี แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับหลายคน หรือแม้กระทั่งคนส่วนใหญ่ เนื่องจากอายุขัยของคนทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น แต่ค่าครองชีพพุ่งสูง และสวัสดิการสังคมก็ถดถอยลง
"การเกษียณอายุเป็นเรื่องที่ยากกว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้วมาก" ฟิงค์ระบุ "และมันจะเป็นข้อเสนอที่ยากกว่ามากในอีก 30 ปีข้างหน้า"
ทั้งนี้ ระบบประกันสังคม (Social Security) ในสหรัฐจะเริ่มการจ่ายเงินสวัสดิการให้ผู้สูงอายุแบบเต็มจำนวนตั้งแต่อายุ 67 ปีขึ้นไป โดยผู้ประกันตนสามารถขอรับเงินประกันสังคมก่อนหน้านั้นได้ แต่จะได้แบบไม่เต็มจำนวน
ขณะที่สวัสดิการด้านการดูแลสุขภาพ หรือ Medicare จะเริ่มให้สวัสดิการกับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป และตัวเลขเหล่านี้มีแต่จะปรับวัยเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ลดลง จึงเป็นเรื่องยากสำหรับการเกษียณก่อนวัยสำหรับผู้สูงวัยที่ไม่ได้ร่ำรวย
ภาวะเหล่านี้เองที่ส่งผลให้คนสูงวัยทั่วโลกยังคงต้องทำงานต่อไปแม้ผ่านวัย 65 ปีไปแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเงินไว้ใช้เพียงพอยามแก่ตัวทำงานไม่ไหวจริงๆ โดยก่อนหน้านี้เมื่อกลางปี 2023 บริษัทประกันในสหรัฐ นอร์ธเวิสเทิร์น มูชวล เคยเปิดเผยผลสำรวจตัวเลขที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นเงินที่พอสำหรับใช้ชีวิตได้หลังเกษียณ อยู่ที่เกือบ 1.3 ล้านดอลลาร์ แต่ปัญหาก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่มีเงินเก็บถึงขนาดนี้แม้จะทำงานกันมาจนถึงวัย 60 กว่าแล้วก็ตาม
สำหรับแลร์รี ฟิงค์ คำตอบของเงินใช้ยามเกษียณอาจเป็นการเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยและยืดอายุเกษียณให้นานขึ้น และสำหรับรัฐบาลหลายประเทศ ตัวเลข 65 อาจเป็นตัวเลขที่เก่าไปแล้ว โดยอังกฤษได้ขยายอายุในการรับเงินบำเหน็จบำนาญ จาก 66 เป็น 67 ปี ระหว่าง พ.ค. 2026 - มี.ค. 2028 และจะขยายขึ้นอีกเป็น 68 ปี หลังจากปี 2044 เป็นต้นไป
การเกษียณในช่วงวัย 60s อาจกำลังจะกลายเป็นความฝันมากกว่าความจริง และตัวเลข 75 ปี อาจเป็น "new 65" ในยุคสมัยของพวกเรานี่เอง