เทสลาลุย 'อีวีโลว์คอสต์' 2025 ดันราคาหุ้นพุ่ง 11% แม้รายได้พลาดเป้าแรง
หุ้นเทสลาพุ่งแรง 11% สวนทางข่าวรายได้ไตรมาส 1 พลาดเป้า หลังอีลอน มัสก์ ประกาศจะเดินหน้าผลิต 'รถยนต์อีวีราคาถูก' ภายในต้นปีหน้า สยบข่าวปล่อยก่อนหน้านี้ว่าทิ้งแผนโลว์คอสต์หันไปมุ่งโรโบแท็กซี่
KEY
POINTS
- เทสลาเปิดเผยรายรับลดลง 9% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นการลดลง (รายปี) ที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012
- ยอดขายรถอีวีในภาพรวมเติบโตลดลง ทำให้เทสลาและบรรดาคู่แข่งทำสงครามราคาเพื่อกระตุ้นยอดในช่วงที่ผ่านมา
- ปีนี้ราคาหุ้นเทสลาร่วงลงไปแล้วมากกว่า 40% เนื่องจากเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงทั่วโลก
- บริษัท 'เลย์ออฟ' พนักงานราว 2,700 ในเท็กซัส และอีกกว่า 3,300 คนในแคลิฟอร์เนีย ในแผนปรับโครงสร้าง
ราคาหุ้นของบริษัท "เทสลา อิงค์" (Tesla) ปรับตัวขึ้นทันทีถึง 11% ระหว่างการซื้อขายเมื่อวานนี้ (23 เม.ย.) ภายหลัง "อีลอน มัสก์" ซีอีโอของเทสลาประกาศจะเดินหน้าแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก (affordable EV) ออกมาเร็วกว่าที่คาดภายในต้นปีหน้า 2568 ซึ่งเป็นการสยบรายงานข่าวของรอยเตอร์สที่เคยเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า มัสก์จะยกเลิกแผนอีวีโลว์คอสต์และเบนเข็มไปเน้นโรโบแท็กซี่แทน
มัสก์กล่าวกับผู้ถือหุ้นว่า บริษัทมีแผนจะเริ่มการผลิตรถอีวีราคาถูกรุ่นใหม่ในช่วงต้นปี 2568 หากไม่ใช่ปลายปีนี้ ซึ่งนับเป็นการมาถึงของอีวีโลว์คอสต์ที่เร็วขึ้น จากเดิมที่มัสก์เคยส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่าอาจจะเริ่มได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
บริษัทระบุว่ากำลังเร่งเปิดตัว "รถยนต์ใหม่ซึ่งรวมถึงรุ่นที่มีราคาไม่แพงให้มากขึ้น" ซึ่งจะสามารถดำเนินการผลิตได้ในสายการผลิตเดียวกันกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของเทสลา โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะ "ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่" จากกำลังการผลิตในปัจจุบัน และเพื่อให้บรรลุ "การเติบโตมากกว่า 50% จากการผลิตในปี 2023" ก่อนที่จะลงทุนในสายการผลิตใหม่
ซีอีโอและผู้ก่อตั้งเทสลายังย้ำถึงการลงทุนของบริษัทในโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และระบุว่าเทสลากำลังอยู่ระหว่างการเจรจาพูดคุยกับ "บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่รายหนึ่ง" เพื่อขอใช้เทคโนโลยีระบบช่วยขับขี่ที่มีการทำตลาดในสหรัฐภายใต้ชื่อว่า Full Self-Driving (FSD) และเทสลายังมีการแสดงความคืบหน้าของการพัฒนาโรโบแท็กซีอีกด้วย
ผลประกอบการ Q1 แย่กว่าที่คาด
การประกาศแผนอีวีโลว์คอสต์อย่างเป็นทางการช่วยให้ผู้ถือหุ้นมีความหวังท่ามกลางข่าวร้ายในการแถลงผลประกอบการไตรมาส 1 ของเทสลา ซึ่งบริษัทมีรายรับลดลงถึง 9% ซึ่งพลาดเป้าจากที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์ของบริษัท LSEG คาดการณ์เอาไว้ โดยเป็นการลดลงที่มากที่สุดในรอบ 12 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2555
ในผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2567 เทสลามีรายรับ 2.13 หมื่นล้านดอลลาร์ น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.215 หมื่นล้านดอลลาร์ และลดลงจากที่ทำได้ 2.517 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา
บริษัทมีกำไรสุทธิลดลงถึง 55% อยู่ที่ 1,130 ล้านดอลลาร์ จาก 2,510 ล้านในไตรมาสเดียวกันปีก่อน ขณะที่ีกำไรต่อหุ้น (EPS) 45 เซนต์ น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 51 เซนต์
เทสลายังคาดการณ์ถึงทิศทางปี 2568 ที่แย่ลง โดยเปิดเผยกับนักลงทุนว่า การเติบโตของยอดขายในปีนี้อาจน้อยกว่าการเติบโตของปี 2567 อย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ก่อนการรายงานผลประกอบการ ราคาหุ้นของเทสลาดิ่งลงไปแล้วมากกว่า 40% ในปีนี้ จนลงไปแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2566 จากความกังวลเรื่องตัวเลขการส่งมอบรถที่ลดลง การแข่งขันที่ตึงเครียดกับค่ายรถไฟฟ้าจากจีน และกลยุทธ์การลดราคาอย่างต่อเนื่องของบริษัท ซึ่งเมื่อต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา บริษัทเพิ่งรายงานยอดการส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสแรกปีนี้ลดลงถึง 8.5% เมื่อเทียบปีที่แล้ว
ล่าสุดมีรายงานด้วยว่า บริษัทได้ประกาศ "เลย์ออฟ" พนักงาน 3,332 อัตราในแคลิฟอร์เนีย และอีก 2,688 ในออสติน รัฐเท็กซัส โดยเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างตามที่บริษัทระบุก่อนหน้านี้ว่าจะมีการเลิกจ้างพนักงานทั่วโลกกว่า 10%