สหรัฐห่วงความรุนแรงรัฐยะไข่เสี่ยงกระทำป่าเถื่อนมากขึ้น
สหรัฐเผย ไม่สบายใจอย่างมากกับความรุนแรงและความตึงเครียดระหว่างชุมชนที่เพิ่มขึ้นในรัฐยะไข่ของเมียนมา อาจเสี่ยงทำให้เกิดการกระทำป่าเถื่อนเพิ่มมากขึ้นได้
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแถลงเมื่อวันอังคาร (21 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น อ้างรายงานข่าวหลายชิ้นที่ว่า เกิดการเผาหลายเมืองในรัฐยะไข่จนชาวบ้านรวมถึงชาวโรฮิงญาต้องพลัดที่นาคาที่อยู่
"การกระทำก่อนหน้านี้ของรัฐบาลทั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธ์และการก่ออาชญกรรมต่อมนุษยชาติอื่นๆ ที่กระทำต่อชาวโรงฮิงญา นอกเหนือจากประวัติการปลุกระดมความตึงเครียดระหว่างชุมชนในรัฐยะไข่และที่อื่นๆ ทั่วประเทศ ตอกย้ำถึงอันตรายอย่างยิ่งต่อพลเรือน
ความรุนแรงและความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้น ณ ขณะนี้ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการกระทำโหดร้ายมากขึ้นอีก" นายแมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแถลง พร้อมให้เรียกร้องให้รัฐบาลทหารเมียนมาและกลุ่มติดอาวุธทุกฝ่ายปกป้องพลเรือน อนุญาตให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปได้โดยไม่มีข้อจำกัด
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติเคยออกคำเตือนคล้ายๆ กันว่า ความตึงเครียดระหว่างชาติพันธุ์ยะไข่และโรฮิงญามีสูง รัฐบาลทหารเมียนมายั่วยุให้เกิดความตึงเครียดนี้
ทั้งนี้ รัฐยะไข่เกิดการปะทะกันนับตั้งแต่กองทัพอาระกัน (เอเอ) โจมตีทหารในเดือน พ.ย. จากที่เคยสงบเป็นส่วนใหญ่หลังกองทัพทำรัฐประหารในปี 2564
เอเอเป็นกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์หนึ่งในหลายๆ กลุ่มบริเวณชายแดนเมียนมา ที่จำนวนมากต่อสู้กับกองทัพนับตั้งแต่ได้เอกราชจากอังกฤษในปี 291 เพื่อให้ได้อำนาจปกครองตนเองและควบคุมทรัพยากรมูลค่ามหาศาล
เอเออ้างว่า ต่อสู้เพื่อให้ชาวยะไข่ได้อำนาจมากขึ้น เมื่อปี 2562 เคยปะทะครั้งใหญ่กับกองทัพ เป็นเหตุให้ประชาชนราว 200,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย
ส่วนการปราบปรามชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ในปี 2560 ขณะนี้เป็นคดีอยู่ในศาลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของสหประชาชาติ