ชุมชนชาวสยามในมาเลเซีย ก้าวข้ามอดีต'รักษาอัตลักษณ์'

ชุมชนชาวสยามในมาเลเซีย  ก้าวข้ามอดีต'รักษาอัตลักษณ์'

คนไทยทุกคนรู้ดีว่า ประเทศของเราเดิมเคยชื่อ “สยาม” มาก่อน แล้วเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นไทยใน พ.ศ.2482 สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม แม้แต่ชาวสยามที่ยังหลงเหลือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศมาเลเซียก็เรียกตนเองว่าคนไทยตามยุคสมัย กระนั้นพวกเขายังคงอัตลักษณ์ชาวสยามไว้ให้เห็น

กระทรวงการต่างประเทศโดยณัฐพล ขันธหิรัญ รองปลัดกระทรวง พร้อมด้วยเจ้าถิ่น ภาษิต จูฑะพุทธิ กงสุลใหญ่ ณ เมืองโกตาบารู  นำคณะสื่อมวลชนไทยเยี่ยมชุมชนชาวสยาม ที่วัดพิกุลทองวราราม บ้านบ่อเสม็ด อ.ตุมปัต รัฐกลันตัน มาเลเซีย เมื่อวันก่อน ร่วมพูดคุยกับพระครูสุวรรณวรานุกูล เจ้าอาวาส และพิม อุตรพันธ์ รองประธานสมาคมสยาม รัฐกลันตัน ถึงอดีตที่เชื่อมโยงมาถึงปัจจุบัน ได้ทราบว่า คนสยามในมาเลเซียมีประมาณ 80,000 คน ถือเป็นชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่ง พบบันทึกประวัติศาสตร์การมีอยู่ของคนสยามตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 (สมัยอาณาจักรมะละกา) สังเกตได้จากชื่อสถานที่หลายแห่งมาจากภาษาไทย เช่น Rambong Batu Tawang (ท่าวัง) Bersut (บ้านสุดหมายถึงหมู่บ้านท้ายสุด) Changlun (ช้างหล่น) Menora Tunnel (อุโมงค์มโนรา รัฐเปรัก) Alor Siam (สายน้ำสยาม)  ชุมชนชาวสยามในมาเลเซีย  ก้าวข้ามอดีต\'รักษาอัตลักษณ์\'

เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง เล่าเพิ่มเติมว่า  คนสยามคือคนไทยดั้งเดิมตั้งแต่ยังเป็นสยามประเทศ สมัยนั้นกลันตัน เคดาห์ เปรัก ปะลิส เคยเป็นของไทย  ชุมชนชาวสยามในมาเลเซีย  ก้าวข้ามอดีต\'รักษาอัตลักษณ์\'

“เมื่อเกิดการแบ่งเขตทางการเมืองเราจึงกลายเป็นคนมาเลเซีย” เจ้าอาวาสกล่าวและว่า วัดพิกุลทองมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย คนที่นี่ยังใช้ภาษาเก่า เช่น ร่มเรียกกลด รองเท้าเรียกเกือก บันไดเรียกกะได กางเกงเรียกสนับเพลา พูดเรียกแหลง (มาจากคำว่าแถลง) 

ภาษาที่ชาวสยามในกลันตันพูดเรียกว่า ภาษาเจ๊ะเห (ภาษาถิ่นที่พูดกันในบางส่วนของ จ.ปัตตานีและนราธิวาส) เจ้าอาวาสเล่าว่า เป็นภาษาที่รับมาจากภาคกลาง ภาคเหนือ

“ภาษาสยามไม่มีวิวัฒนาการเหมือนเราถูกปิดจากมาตุภูมิเลยพูดแบบเก่า” เจ้าอาวาสกล่าว

 ความผูกพันกับแผ่นดินเกิดเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ ชะตากรรมของชาวสยามในกลันตัน เคดาห์ เปรัก เปอร์ลิส เป็นผลจากสนธิสัญญาปักปันเขตแดนระหว่างอังกฤษกับสยามในปี 1909  ดินแดนสี่รัฐตกเป็นของมาเลเซีย ลูกหลานรุ่นหลังเกิดในดินแดนที่เป็นมาเลเซียไปแล้ว 

  "เรารักมาเลเซียเพราะเป็นแผ่นดินเกิด เราจะไม่ไปไหน ชาวบ้านไม่เคยยุ่งการเมือง ขอให้เรามีที่ทำกิน ดำเนินชีวิตแบบคนไทยได้" เจ้าอาวาสเผยถึงความรู้สึกพร้อมย้ำว่า  คนสยามมีไม่ถึง 1% ของประชากรมาเลเซีย ดังนั้นต้องพยายามรักษาจุดแข็ง ได้แก่ ภาษา วัฒนธรรม และพุทธศาสนาเอาไว้  ถึงจะสามารถรักษาอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ได้  ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม 

กระนั้น คำถามที่เจ้าอาวาสและคนในชุมชนเจอบ่อยๆ คือ จะกลับไปประเทศไทยหรือไม่ เรื่องนี้เจ้าอาวาสตอบชัด

“อยู่ที่นี่เราก็เป็นคนไทย ภาครัฐให้สิทธิเต็มที่ รับราชการก็ได้ และเคยมีตัวแทนเป็น ส.ว.” ตัวอย่างการให้สิทธิแก่ชาวสยาม เช่น รัฐบาลมาเลเซียอนุญาตให้หยุดงานในวันที่ 13 เม.ย. มีเสรีภาพในการนับถือศาสนาเห็นได้จาก ทั่วประเทศมาเลเซียมีวัด/สำนักสงฆ์เกือบ 100 แห่ง รัฐกลันตันมีวัด 22 แห่ง อ.ตุมปัตมี 12 แห่ง พระจำพรรษา 120 รูป  ชุมชนชาวสยามในมาเลเซีย  ก้าวข้ามอดีต\'รักษาอัตลักษณ์\'

สำหรับวัดพิกุลทองวรารามนอกจากเป็นศูนย์กลางชุมชนแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางสอนภาษาไทย เดิมทีการสอนภาษาไทยมีเฉพาะเด็กผู้ชายมาเรียนเพราะต้องบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งการบวชต้องขานนาคเป็นภาษาไทย พอถึงยุคใหม่มีครูอาจารย์จากเมืองไทยมาเยี่ยมเห็นว่าที่นี่ยังขาดพัฒนาการด้านภาษา จึงนำสมุดหนังสือของกระทรวงศึกษาธิการมาให้เรียนที่วัด ต่อมาพัฒนาเป็นโรงเรียน  ชุมชนชาวสยามในมาเลเซีย  ก้าวข้ามอดีต\'รักษาอัตลักษณ์\' ตลอดเวลาของการพูดคุย สังเกตได้ว่า เจ้าอาวาสเน้นย้ำถึงสามจุดแข็งของชุมชนชาวสยามคือภาษา วัฒนธรรม และศาสนา แต่สิ่งที่น่าคิดต่อคือเด็กยุคนี้ชอบเล่นติ๊กต็อกแถมหลายคนประกาศตัวไม่นับถือศาสนา แล้วอัตลักษณ์สยามจะหลงเหลือได้อย่างไร

เจ้าอาวาสกล่าวว่า เด็กเล่นติ๊กต็อกก็จริง แต่เวลาอยู่ในชุมชนจะใช้ภาษาท้องถิ่นโดยอัตโนมัติ ซึ่งประเพณีวัฒนธรรมและศาสนาได้รวมอยู่ในภาษา และพระสงฆ์ต้องแสดงบทบาทให้เด็กสนใจภาษา วัฒนธรรม ประเพณี และอัตลักษณ์ไทยด้วยการชี้ให้เห็นว่าคนเชื้อชาติอื่น เช่น จีน อินเดีย มลายูสามารถรักษาอัตลักษณ์ไว้ได้ เราก็ต้องทำให้ได้

“ก็พยายามปลูกฝังว่าหากวันหนึ่งวันใดเราไม่รักษาอัตลักษณ์ของเรา พวกเธอรู้มั้ยว่าเราจะถูกกลืนอัตลักษณ์ เมื่อนั้นความเป็นไทยของเราจะหมดไป  คือพยายามเตือนให้เด็กฉุกคิด ไม่ประมาท ว่าเรามีจำนวนน้อย สักวันหนึ่งเราจะโดนกลืน  แต่หากเราเข้มแข็งด้านภาษา วัฒนธรรม ศาสนา อนาคตข้างหน้าพวกเธอจะรักษาความเป็นไทยของเราไว้ได้”

เรื่องดินแดนอาณานิคมในอดีตเป็นจุดหนึ่งที่สร้าง “ประวัติศาสตร์บาดแผล” ให้กับหลายคนต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้  แต่ชาวสยามในมาเลเซียก้าวข้ามเรื่องพวกนี้ไปนานแล้ว ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนไม่ให้ยึดติด  ไม่ยึดถืออดีต ไม่พะวงอนาคต 

“เราทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เรื่องประวัติศาสตร์คือเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ไม่ต้องไปยึดถือว่าดินแดนนี้เคยเป็นของไทย เคยเป็นของบรรพบุรุษ เราไม่ต้องไปเคลมเรื่องนั้น เอาปัจจุบันเป็นที่ตั้งแล้วอนาคตจะดีเอง เมื่อเราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าปัญหาการเหยียดชาติพันธุ์ ดูถูกดูแคลนกันจะไม่มี" เจ้าอาวาสวัดพิกุลทองวรารามกล่าวทิ้งท้าย ด้วยหลักคิดง่ายๆ ทางพุทธศาสนา แต่เป็น "อกาลิโก" ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ที่ชาวสยามในกลันตันได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ชุมชนชาวสยามในมาเลเซีย  ก้าวข้ามอดีต\'รักษาอัตลักษณ์\'