ราคารถ EV มือสองดิ่งยับ แห่ขายกังวลแบตเสื่อม ฉีกภาพรถยนต์ไฟฟ้า ‘พรีเมียม’
ราคา ‘รถยนต์ไฟฟ้ามือสอง’ดิ่ง 39% ต่ำกว่ารถสันดาปมือ 2 หลายหมื่นบาท ฉีกภาพรถ EV พรีเมียม หลังคนแห่ขาย กังวลแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ สงครามราคาทุบตลาด
สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงาน สถานการณ์ราคารถยนต์ไฟฟ้ามือสองลดลงอย่างมากตลอดทั้งปี 2567 หลังจากที่เคยมีราคาระดับ "พรีเมียม" แพงกว่ารถเบนซินมือสองหลายเท่า แต่ปัจจุบันราคารถ EV มือสองกลับถูกกว่ารถยนต์เบนซินมือสองหลายหมื่นบาท และช่องว่างของราคาระหว่างรถหรูในรุ่นใกล้เคียงกัน เช่น Tesla Model 3 เทียบกับ BMW 3 Series ยังคงกว้างขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ซื้อรถยนต์เริ่มมองว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้เป็นเป็นสินค้า "พรีเมียม" อีกต่อไป
iSeeCars เผยแพร่รายงานการวิเคราะห์ข้อมูลรถยนต์มือสองที่ใช้แล้ว 1-5 ปี จำนวน 2.2 ล้านคัน ในช่วงปีที่ผ่านมาพบว่า ราคารถยนต์เบนซินมือสองลดลงเพียง 3-7% ในขณะที่ราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลงถึง 30-39%
ย้อนไปในเดือนมิถุนายน 2566 ราคาเฉลี่ยของรถยนต์ไฟฟ้ามือสองเคยสูงกว่าราคารถยนต์เบนซินมือสองถึง 25% แต่ปัจจุบันคาดว่าราคารถยนต์ไฟฟ้ามือสองจะร่วงลงกว่า 8% ในเดือนพฤษภาคม 2567 รวมทั้งช่องว่างระหว่างรถแบรนด์หรู อย่าง BMW มือสองกับรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง “ขยายกว้างขึ้น” อย่างมีนัยสำคัญจาก 265 ดอลลาร์ (ราว 9,750 บาท) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เป็น 2,657 ดอลลาร์ (ราว 97,759 บาท) ในเดือนพฤษภาคม 2567
คาร์ล เบราเออร์ นักวิเคราะห์จาก iSeeCars กล่าวว่า ผู้ซื้อรถมือสองไม่เต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอีกต่อไป รวมทั้งความสนใจของผู้บริโภคต่อรถยนต์ไฟฟ้าลดลง ทำให้มูลค่าของรถยนต์ไฟฟ้ามือสองตกลงมากเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาป
‘3 ปัจจัย’ กดดันราคารถอีวีมือสองร่วง
ปัจจัยแรกที่ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้ามือสองลดลงไปอีกคือ มีผู้ขายรถยนต์ไฟฟ้ามือสองมากขึ้น โดยทั้งปี 2565 มีการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือสองในสหรัฐราว 176,918 คัน แต่ในเดือนพฤษภาคมเพียงเดือนเดียวมีการซื้อขายกว่า 45,000 คัน ซึ่งรถยนต์มือสองอายุหนึ่งปี จะมีราคาซื้อขายอยู่ที่ 80% ของราคาเต็ม
ปัจจัยถัดมาคือ “เทคโนโลยีแบตเตอรี่” ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้ามือสองลดลงอย่างรวดเร็ว สาเหตุหลักมาจากระยะทางวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ตามอายุการใช้งาน
รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่มาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ระยะทางวิ่งไกลขึ้น และอายุการใช้งานยาวนานมากขึ้น โดยเฉพาะระบบควบคุมอุณหภูมิขณะชาร์จไฟที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้
แบตเตอรี่ถือเป็นชิ้นส่วนที่มีราคาแพงที่สุดชิ้นหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้า โดยคิดเป็น 30-50% ของมูลค่ารถ ดังนั้นการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ทำให้ระยะทางวิ่งไกลขึ้น และอายุการใช้งานยาวนานมากขึ้น จึงส่งผลต่อราคาของรถยนต์ไฟฟ้ามือสองโดยตรง
‘สงครามราคา’ กระทบทั้งตลาด
“สงครามราคา” อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้ามือสองลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
อีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัท เทสลา มอเตอร์ (Tesla) ผู้จุดชนวนสงครามครั้งนี้ได้เริ่มต้นสงครามราคากับผู้ผลิตรายอื่นในอุตสาหกรรมนี้ เนื่องจากยอดขายที่ทรุดตัวลง นำไปสู่การตัดสินใจลดราคาตั้งแต่ปี 2566 และลดราคาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงรถยนต์รุ่น Model X, Y และ S
สกอตต์ เคส ซีอีโอของ Recurrent เป็นบริษัทสตาร์ตอัปที่พัฒนาเทคโนโลยี สำหรับวัดประสิทธิภาพแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภค กล่าวว่า ราคารถยนต์ Tesla มือสองที่ลดลงนั้นสอดคล้องกับการลดราคาของ Tesla มือหนึ่ง และยังส่งผลให้ราคารถยนต์ไฟฟ้ามือสองจากแบรนด์คู่แข่งลดลงตามไปด้วย
ในเดือนม.ค.67 เฮิร์ทซ(Hertz) บริษัทเช่ารถยักษ์ใหญ่ในอเมริกา เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเรื่องกลยุทธ์ครั้งสำคัญท่ามกลางสงครามราคาที่กำลังปะทุ โดยยอมขายขาดทุนรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 20,000 คันออกจากฝูงรถ ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของรถ EV ทั้งหมดของบริษัท โดยขาย Tesla มือสองผ่าน Hertz Car Sales ทั่วประเทศในราคาเฉลี่ย 25,000 ดอลลาร์ แบบไม่มีการต่อราคา ดีกว่าปล่อยให้ราคาขายตกต่ำไปมากกว่านี้
สถานีชาร์จ EV เพิ่มขึ้น สวนทางความสนใจผู้บริโภคลดลง
ปัจจุบัน สถานีชาร์จ EV มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก ตามข้อมูลของกระทรวงพลังงาน มีสถานีชาร์จยานพาหนะไฟฟ้าสาธารณะที่เข้าถึงได้มากกว่า 64,000 แห่งในสหรัฐ โดยมีหัวชาร์จ EV รวมกันกว่า 176,000 หัว จากโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ EV เพิ่มขึ้น 29% จากปี 2565
แม้ว่าโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จก็มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่จำนวนสถานีชาร์จสาธารณะจะยังคงน้อยกว่าปั๊มน้ำมันที่มีราวๆ 145,000 แห่งในสหรัฐ
บทวิเคราะห์จาก Pew Research อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงพลังงานสหรัฐ พบว่า แม้จะมีสถานีชาร์จไฟใกล้บ้าน แต่มีเพียง 7% ของคนที่อาศัยอยู่ใกล้สถานีชาร์จเท่านั้น ที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
ขณะที่ผลสำรวจของกัลลัปในเดือนเมษายนพบว่า ชาวอเมริกันมีการครอบครองรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 3% ต่อปี แต่สัดส่วนของผู้บริโภคที่สนใจที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าลดลงจาก 12% เหลือ 9% และชาวอเมริกัน 35% ระบุว่า พวกเขาอาจพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งลดลงจากตัวเลข 43% ในปีที่แล้ว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์