เศรษฐศาสตร์สุดแปลกของ Hermès Birkin ‘สินทรัพย์การลงทุน’ที่คุ้มค่า?
เศรษฐศาสตร์อันบ้าคลั่งของ Hermès Birkin ทำให้คนรวยมีระดับอยากครอบครอง จนกลายเป็น ‘สินทรัพย์การลงทุน’ ที่หลายคนใฝ่ฝัน ทำเงินได้ 2 เท่า ในเวลาแค่ 5 นาที แต่กว่าจะได้มาคุ้มค่าแค่ไหนที่จะลงทุน ?
แอร์เมสเบอร์กิ้น (Hermès Birkin ) ไม่ได้เป็นเพียงกระเป๋าถือ แต่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา ด้วยดีไซน์คลาสสิก ผลิตจากหนังแท้ชั้นดี ผ่านการตัดเย็บอย่างประณีต บวกกับจำนวนที่ผลิตจำกัด ทำให้กระเป๋า Birkin กลายเป็น "สินทรัพย์การลงทุน" ที่หลายคนใฝ่ฝัน
หลัก “เศรษฐศาสตร์”สุดแปลกของกระเป๋า Birkin สามารถทำเงินได้มากถึง 2 เท่าภายในเวลา 5 นาที ด้วยการซื้อกระเป๋า Birkin จากบูติก Hermès แล้วนำไปขายต่อ ซี่งราคา “รีเซล” แพงกว่าราคาชอป ถึง 103.53%
เริ่มต้นจากการซื้อกระเป๋าหนังกลับสีดำรุ่นคลาสสิก “Birkin 25” ในบูติก Hermès มีราคาอยู่ที่ 11,400 ดอลลาร์ หรือประมาณ 420,124.20 บาท (ไม่รวมภาษี) ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่า Hermès มีต้นทุนเพียงแค่ประมาณ 36,959 บาท แต่ผู้ซื้อสามารถเดินออกจากชอปแล้วนำกระเป๋าไปขายต่อให้ร้านรับซื้อกระเป๋ามือสองที่ พรีเว่ พอร์เตอร์ (Privé Porter) เพื่อแลกกับเงินสด 848,010 บาท หรือเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าได้ในทันที
จากนั้น Privé Porter จะนำกระเป๋า Birkin ใบนั้นไปขายต่อบนโซเชียลหรือที่ร้าน Pop-Up Store ด้วยสภาพใหม่เอี่ยมพร้อมใบเสร็จในราคาสูงถึง 1,172,144 บาท ซึ่งอาจจะขายได้ในวันเดียวกันนั้นเลย
Birkin สัญลักษณ์แห่งความรวย
นอกจากนี้ หลักเศรษฐศาสตร์สุดแหวกแนวของกระเป๋า Birkin ได้ฉีกกฎความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและพนักงานขายแบบเดิมๆ เพราะลูกค้ากลับเป็นฝ่ายที่ต้อง "ยอมโค้งคำนับ"
Birkin กลายเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกฐานะทางการเงิน ใครที่สามารถซื้อและถือกระเป๋าใบนี้หมายความว่าสามารถควักเงิน 10,000 -100,000 ดอลลาร์ (ราว 3.6 แสน - 3.6 ล้านบาท) เพื่อแลกกับการถูกพิจารณาให้ซื้อกระเป๋าใบนี้
ในตอนนี้การจะได้กระเป๋าถือใบนี้มาครอบครองบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย!! จึงไม่แปลกใจที่บรรดาเศรษฐีนีระดับโลกบางคนถึงกับเอาคุ้กกี้ฝีมือตัวเอง หรือยื่นข้อเสนอบัตรคอนเสิร์ตของ Beyoncé ทริปนั่งเจ็ตส่วนตัวไปเทศกาลหนังเมืองคานส์ หรือแม้กระทั่งเงินสดเป็นฟ่อน เพื่อเอาใจพนักงานขายแลกกับความที่หวังจะได้กระเป๋า Birkin มาครอบครองสักใบ หรือนักช้อปบางคนยังยอมทุ่มเงินหลายหมื่นดอลลาร์ไปกับสินค้า Hermès ที่อาจจะไม่ได้อยากได้จริงๆ อย่างเช่น เรือแคนู มูลค่า 3.2 ล้านบาทเพื่อให้ตัวเองมีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาซื้อกระเป๋าหายากใบนั้น
นักชอปที่ต้องการกระเป๋า Birkin จากบูติก Hermès จะต้องผ่านอุปสรรคมากมาย นักสะสมกระเป๋า Birkin เผยวิธีการตามล่ากระเป๋า ขั้นแรกต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพนักงานขายของแบรนด์เสียก่อน ขั้นตอนต่อไปคือการใช้เงินจำนวนมากไปกับสินค้าอื่นๆ เช่น ผ้าพันคอไหม นาฬิกา และรองเท้า เพื่อให้ “มีคุณสมบัติ” ที่จะได้รับกระเป๋าใบนี้
กระบวนการอันแสนยุ่งยากนี้สร้างความรู้สึกให้กับบรรดาผู้ช้อปของ Hermès ว่า ลูกค้าที่เป็น “ท็อป สเปนเดอร์” เท่านั้นถึงจะได้สิทธิ์ในการซื้อ Birkin เป็นอันดับแรก
ตอนนี้ Hermès กำลังถูก “ฟ้องร้อง”ในศาลแคลิฟอร์เนีย โดยลูกค้าสองคนที่กล่าวหาว่าแบรนด์ขายกระเป๋า Birkin เฉพาะให้กับลูกค้าที่ “คู่ควร” เท่านั้น และยังบังคับให้ลูกค้าต้องซื้อสินค้าอื่นๆ ภายในชอปก่อนที่จะสามารถซื้อกระเป๋า Birkin ได้ ทาง Hermès ได้โต้แย้งว่าไม่ได้มีข้อกำหนดใดๆ ที่บังคับให้ลูกค้าต้องซื้อสินค้าอย่างอื่นก่อนที่จะซื้อกระเป๋า Birkin
แม้ว่าจะใช้เงินไปหลายหมื่นดอลลาร์แล้ว แต่นักล่ากระเป๋า Birkin ก็อาจจะไม่ได้รับกระเป๋าในขนาดหรือสีที่ต้องการ ตรงนี้กลายเป็นโอกาสทองสำหรับพ่อค้าแม่ค้ากระเป๋ามือสองทำกำไรกันเละเทะ
สมมติว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นขาประจำของแบรนด์ อยากได้กระเป๋า Birkin สีแดง แต่กลับได้ใบสีเขียวมาแทน เพราะการปฏิเสธกระเป๋าใบนี้ถือเป็นเรื่องเสียมารยาท เนื่องจากการรักษาความสัมพันธ์กับพนักงานขายถือเป็นเรื่องสำคัญในการล่ากระเป๋า Birkin ดังนั้นลูกค้าจึงตัดสินใจซื้อกระเป๋าใบนั้นมาเพราะรู้ดีว่าสามารถนำไปขายต่อให้ร้านรับซื้อกระเป๋า ซึ่งยังคงได้กำไรและยังมีความหวังว่าจะได้ใบสีแดงในอนาคต
“ตลาดรีเซล” กลายเป็นตลาดเพื่อแย่งชิงในการซื้อกระเป๋า Birkin เพราะผู้ซื้อบางคนยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มในราคาที่สูงเพื่อให้ได้กระเป๋า Birkin ใบที่ต้องการในทันทีเพราะได้สีที่ตรงใจ
จึงไม่แปลกใจที่จะมีสินค้า Hermès “ใหม่เอี่ยม” จำนวนมากกลายเป็นสินค้าขายต่อในตลาดมือสอง กลายเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่า "ปรากฏการณ์ Birkin" อาจกระตุ้นยอดขายสินค้าที่ลูกค้าไม่ได้ต้องการจริงๆ โดยบนเว็บไซต์ขายของหรูมือสอง The RealReal มีสินค้า Hermès ในสภาพใหม่เอี่ยมวางขายถึง 35% ขณะที่แบรนด์หรูอื่นๆ อย่าง Louis Vuitton, Gucci, Prada, Bottega Veneta และ Saint Laurent อยู่ที่ 20%
Hermès รู้ดีว่าลูกค้าขาประจำบางคนนำกระเป๋าไปขายต่อ และแม้ว่าจะมีข้อความเล็กๆ บนใบเสร็จรับเงินของ Hermès ที่ระบุว่า “บริษัทขอความร่วมมือจากลูกค้าว่าจะไม่นำสินค้า Hermès ที่ซื้อจากชอปของเราไปขายต่อเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม” แต่ก็ไม่มีลูกค้า Hermès คนไหนกล้าออกมายอมรับว่าเคยนำกระเป๋าไปขายต่อให้ร้านรับซื้อ เพราะกลัวว่าจะถูกแบรนด์ขึ้นบัญชีดำ
อย่างที่ทราบกันดีว่า Hermès ไม่พอใจกับการนำกระเป๋าไปขายต่อ แต่การกำจัดพ่อค้าแม่ค้ากระเป๋ามือสองออกไปจากวงจรกลับส่งผลเสียต่อแบรนด์เอง
ในเดือนมกราคมบริษัทได้ปรับขึ้นราคาของกระเป๋า Birkin หนังพิเศษ exotic skin ราว 20% โดยพ่อค้าแม่ค้ากระเป๋ามือสองคิดว่าการขึ้นราคานี้มีจุดประสงค์เพื่อลดผลกำไรในตลาดมือสองแต่มันไม่ได้ผล เพราะร้านรีเซลสามารถปรับราคาขายต่อให้สูงขึ้นตามราคาทุนที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่มีปัญหา
ทางเลือกอื่นของ Hermès ที่ทำได้ คือการเพิ่มกำลังการผลิตและปล่อยกระเป๋าใบใหม่สู่ตลาดมากขึ้น แม้ว่าสิ่งนี้อาจยุติการขายกระเป๋า Birkin ในตลาดรีเซล แต่ในขณะเดียวกันมันก็จะทำลายความลึกลับน่าค้นหาของกระเป๋าใบนี้ไปด้วย
วิกฤติการเงินฉายแสงให้ Hermès
อันที่จริงแล้วกระเป๋า Birkin ไม่ได้เป็นที่นิยมตั้งแต่ช่วงแรกที่วางขายในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ย้อนไปในอดีตผู้ซื้อสามารถเดินเข้าไปที่ชอป Hermès แล้วหยิบกระเป๋า Birkin ใบหนึ่งออกจากชั้นวางมาซื้อได้เลย ซึ่งในสมัยนั้นกระเป๋า Birkin ยังไม่สามารถขายต่อได้ในราคาที่สูงกว่าราคาป้าย แต่บางอย่างก็เปลี่ยนไปในช่วงปีหลังวิกฤตการณ์ทางการเงินปี 2008-2009
แมทธิว รูบิงเกอร์ จากตลาดออนไลน์ 1stDibs เผยว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยทำให้มีเงินสะพัดอยู่ในระบบมากขึ้นและเริ่มไหลเข้าไปสู่ “สินทรัพย์ทางเลือก”
ยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำผู้คนหันมาให้ความสนใจกับ"สินค้าคลาสสิก" ทำให้กระเป๋า Hermes Birkin จึงกลายเป็นไอเทมที่ตอบโจทย์เหล่านี้ได้อย่างลงตัวเมื่อกระเป๋า Birkin รุ่นหายากอย่าง Himalaya เริ่มทำลายสถิติราคาประมูลผู้คนก็เริ่มให้ความสนใจ "หลังจากราคาทะลุเกิน 3.6 แสนบาททุกอย่างก็จริงจังขึ้นมาก"
Hermès การลงทุนทางเลือกที่คุ้มค่า?
ราคารีเซลของ “แอร์เมส”ที่มีราคาขายแพงกว่าราคาในบูติกถึง 125% ซึ่งมากที่สุดในบรรดาแบรนด์หรู
แต่ทว่ากำไรที่ได้จากการขายต่อกระเป๋าที่ซื้อจากบูติก Hermès จะลดลงไปอีกเมื่อพิจารณาถึงเงินหลายหมื่นดอลลาร์ที่ต้องใช้ไปกับสินค้าอื่นๆ เพื่อให้ "มีคุณสมบัติ" ในการซื้อกระเป๋าใบนั้น
จากข้อมูลของ Art Market Research กระเป๋า Birkin ที่ซื้อในปี 2010 และนำไปขายต่อในปัจจุบัน ราคาจะเพิ่มขึ้นประมาณ 50% ซึ่งถือว่าน้อยกว่า ผลงานศิลปะร่วมสมัย นาฬิกา และรถยนต์คลาสสิกที่ราคาปรับขึ้นไปมากกว่า
นอกจากนี้ การลงทุนในหุ้น Hermès โดยตรงอาจจะดีกว่าการซื้อกระเป๋า Birkin เสียอีก เพราะราคาหุ้น Hermès เพิ่มขึ้นกว่า 20 เท่าตั้งแต่ปี 2010
อ้างอิง wsj