การทูต ‘กู้เปิ่นเผยหยวน’ ของหลี่ เฉียงที่ทำให้ทั้งโลกมองว่าศก.จีนวิกฤติจริง

การทูต ‘กู้เปิ่นเผยหยวน’ ของหลี่ เฉียงที่ทำให้ทั้งโลกมองว่าศก.จีนวิกฤติจริง

นิกเคอิ เอเชีย เผยแพร่บทบรรณาธิการของ “คัตสึจิ นากาซาวะ” นักเขียนอาวุโสและบรรณาธิการของนิกเคอิ เอเชีย ผู้ซึ่งใช้เวลา 7 ปีในจีนภายใต้บทบาทการเป็นผู้สื่อข่าวและต่อมาเป็นหัวหน้าสำนักงานข่าวจีน รวมทั้งในปี 2014 เขาได้รับรางวัลผู้สื่อข่าว Vaughn-Ueda International Journalist

เศรษฐกิจจีนกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน? นั่นคือสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ในขณะที่รอแถลงการณ์ที่จะออกมาวันนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการประชุมสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์ที่จัดขึ้นทั้งหมด 4 วัน

แถลงการณ์นี้จะแสดงให้เห็นด้วยว่าพรรคฯ จะสามารถให้คำอธิบายให้ทั้งโลกเข้าใจอย่างง่ายๆ ได้หรือไม่ว่าพวกเขากำลังวินิจฉัยและร่างนโยบายเพื่อรักษาเศรษฐกิจที่กำลังป่วยอยู่อย่างไร

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เลขาธิการพรรคสี จิ้นผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนด้วย ได้รายงานผลงานซึ่งเป็นวันเปิดการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่สามของคณะกรรมการกลางพรรคชุดที่ 20

สำนักข่าวซินหัวของรัฐบาลจีนรายงานข้อมูลในรายงานนั้นว่า ผู้นำสูงสุดอธิบายถึง “ร่างการตัดสินใจ” จากคณะกรรมการฯ ในประเด็นเรื่องการปฏิรูปรากฐานอย่างครอบคลุมและทำให้จีนมีความทันสมัยมากขึ้น

สถิติจำนวนมากยังแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของจีน ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐ ยังคงซบเซา และการเติบโตในเดือนเม.ย. ถึงมิ.ย.ยังคงชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า ท่ามกลางวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อและอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ ดังนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นประเด็นสำคัญที่สุดสำหรับตอนนี้

เมื่อปลายเดือนที่แล้ว นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ยิ่งทำให้สถานการณ์ทั้งหมดซับซ้อนยิ่งขึ้น แม้แท้จริงแล้วเขาจะตั้งใจบรรเทาความกังวลของประชาคมระหว่างประเทศ แต่หลี่ขึ้นบรรยายในการประชุม Summer Davos ซึ่งกลับให้ผลตรงกันข้าม

ในเมืองต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน หลี่อธิบายเศรษฐกิจจีนค่อนข้างละเอียดในการประชุมประจำปีครั้งที่ 15 ของ World Economic Forum's New Champions ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Summer Davos Forum 2024

ทว่าคำพูดของหลี่กลับสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจนอกประเทศจีน

แม้ว่าเขากำลังกล่าวกับผู้นำธุรกิจจากทั่วโลก แต่หลี่กลับใช้วิธีการบรรยายในลักษณะที่เข้าใจได้เฉพาะกับเจ้าหน้าที่พรรคฯ เท่านั้น และดูเหมือนว่าเป็นการเอาใจเจ้านายผู้ทรงอำนาจของเขา และหลี่ภาคภูมิใจอย่างมากที่เป็นหนึ่งในผู้ช่วยที่ใกล้ชิดที่สุดของสี

เขาเปรียบเทียบเศรษฐกิจจีนกับคนไข้ และกล่าวว่าคนไข้กำลังฟื้นตัวจากอาการป่วยหนักเรื้อรัง "ตามทฤษฎีการแพทย์แผนจีน" หลี่กล่าว "ในช่วงเวลานี้ เราไม่สามารถใช้ยาแรงได้" ต้องปล่อยให้คนไข้ค่อยๆ ฟื้นตัว ร่างกายค่อยๆ ฟื้นฟู เขากล่าว

ในระหว่างการอธิบายของเขา หลี่ใช้คำว่า "กู้เปิ่นเผยหยวน" (Guben Peiyuan) ซึ่งหมายถึง "การเสริมสร้างรากฐานและบ่มเพาะจิตวิญญาณภายใน" แม้ว่าผู้เข้าร่วมชาวต่างชาติจำนวนมากจะไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งนี้ แต่ "กู้เปิ่นเผยหยวน" เป็นประเด็นสำคัญที่สุดของหลี่ โดยสื่อหลักของจีนรายงานเฉพาะส่วนนี้ของคำพูดของหลี่ โดยละเลยการอ้างอิงถึง "ยาแรง" ของเขาโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่เหลือของโลกกลับได้ยินเพียงคำประกาศของหลี่ที่ว่า "เราไม่สามารถใช้ยาแรงได้" และสรุปกันเองว่าเศรษฐกิจจีนกำลังประสบกับความเจ็บป่วยที่ร้ายแรงจริงๆ

ผู้เข้าร่วมประชุมนานาชาติยังตีความคำพูดของหลี่ว่าการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่สามจะไม่กำหนดมาตรการการใช้จ่ายทางการคลังขนาดใหญ่หรือมาตรการผ่อนคลายทางการเงินใดๆ

ตามแหล่งข่าวจีนที่สังเกตการณ์การเมืองจีนมาหลายปีและรู้จักความชอบของสีพบว่าเลขาธิการพรรคชอบทฤษฎีการแพทย์แผนจีนมากกว่าแบบตะวันตก และชอบแนวคิดที่อิงจากปรัชญาจีนโบราณมากกว่าที่อิงจากปรัชญาตะวันตก

หลี่เคยทำงานเป็นเลขานุการของสีในมณฑลเจ้อเจียง และมั่นใจว่าเขาสามารถคาดเดาความต้องการของเจ้านายได้ แต่ความเชื่อมั่นนั้นทำให้เขากล่าวถึง "กู้เปิ่นเผยหยวน" ต่อหน้าผู้ฟังนานาชาติในเมืองต้าเหลียน

แล้วอะไรทำให้เขาเลือกใช้คำที่ส่งผลย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง? คำตอบคือ สี ผู้นำสูงสุดชื่นชอบแนวคิด "กู้เปิ่นเผยหยวน" เขาใช้คำนี้เมื่อปีที่แล้วในการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมงานด้านการศึกษาภายใต้หัวข้อ "ความคิดของสี จิ้นผิงเกี่ยวกับสังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะสำหรับจีนยุคใหม่"

ในสุนทรพจน์นั้น เขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่เจ้าหน้าที่อาวุโสของพรรคฯ ต้องเพิ่มขีดความสามารถในการตัดสินใจทางการเมือง ความเข้าใจ และการปฏิบัติผ่านแนวคิด "กู้เปิ่นเผยหยวน"

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. เขาเน้นย้ำความสำคัญของ "กู้เปิ่นเผยหยวน" ในการประชุมกลุ่มศึกษาของกรมการเมืองของพรรคฯ โดยเน้นความสำคัญของคำศัพท์ทางการแพทย์นี้ในการศึกษา "ความคิดของสี จิ้นผิง" ในการนี้ เขากำลังสะท้อนเจตนาแอบแฝงนั้นคือ เพื่อส่งเสริมความจงรักภักดีอย่างสมบูรณ์ของเจ้าหน้าที่พรรคต่อตัวเขาเอง

นอกจากนี้ สียังชอบทฤษฎีการแพทย์แผนจีนด้วย

แผนกของพรรคฯ ที่รับผิดชอบด้านการสร้างองค์กรกล่าวบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการว่า นับตั้งแต่การประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 18 ในปี 2012 ซึ่งสีได้รับตำแหน่งเลขาธิการพรรค เขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการประยุกต์ใช้การแพทย์แผนจีนอย่างมาก

"กู้เปิ่นเผยหยวน" ได้กลายเป็นศัพท์การเมืองที่เป็นสัญลักษณ์ของยุคสี จิ้นผิง ดังนั้น การใช้คำนี้ของหลี่จึงถูกต้องทางการเมือง อย่างน้อยก็สำหรับผู้ฟังชาวจีน แต่ไม่มีทางที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจต่างชาติจะเข้าใจศัพท์การเมืองเฉพาะของพรรคฯ ได้อย่างทันท่วงที

กลับกัน คำพูดของหลี่ได้ส่งผลเสียต่อจีนบนเวทีระหว่างประเทศ เพราะคำพูดนั้นแพร่กระจายการรับรู้ว่าสภาพเศรษฐกิจของจีนแย่กว่าที่ผู้สังเกตการณ์คิดไว้ และการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่สามที่จะจบลงในวันนี้จะไม่มีการแก้ไขนโยบายที่สำคัญ

ในวันแรกของการประชุมสมัชชาใหญ่ สีอธิบายร่างการตัดสินใจของคณะกรรมการกลางเกี่ยวกับ "การทำให้จีนทันสมัย" ในแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งสียกย่องว่าเป็นอุดมคติ มีความเป็นปรัชญาจีนโบราณ และแนวคิดทางการแพทย์ของจีน

นอกจากนี้ สียังยกย่อง "การฟื้นฟูครั้งยิ่งใหญ่ของชาติจีน" สิ่งนี้ก็อิงจากความคิดแบบจีนดั้งเดิมเช่นกัน รวมถึงแนวคิดเรื่อง "จื้อเฉียง" (Ziqiang) หรือการมุ่งมั่นพัฒนาตนเอง แต่ความคิดเหล่านี้เป็นเรื่องยากสำหรับชาวต่างชาติที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้

หากเศรษฐกิจจีนกำลังประสบกับภาวะถดถอยที่รุนแรงกว่าที่คิดไว้ ข้อสรุปที่ง่ายที่สุดอาจคือการที่รัฐบาลของสีได้ทำความผิดพลาดทางนโยบายมาตลอด 12 ปีนับตั้งแต่เขาขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของจีน หนึ่งในนั้นอาจเป็นนโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่เข้มงวดและยาวนาน

แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่สี ในฐานะแกนหลักของคณะกรรมการกลางพรรค จะยอมรับว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นความผิดของเขา การทำเช่นนั้นจะนำไปสู่การล่มสลายของระบบรวมศูนย์ที่เขาสร้างขึ้นโดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นแทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาต้องรักษาความจงรักภักดีอย่างสมบูรณ์เพื่อคงระบบของเขาไว้

หากการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่สามทำได้เพียงแค่นำเสนอคำขวัญและปรัชญาที่สีชื่นชอบ ประชาคมระหว่างประเทศจะถูกทิ้งให้กังวล โดยรู้เพียงแค่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจที่เลวร้ายของจีนจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางในอนาคตของเศรษฐกิจโลก

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น รัฐบาลของสีควรอธิบายสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันของประเทศและการแก้ไขนโยบายที่ตั้งใจจะดำเนินการ โดยใช้คำศัพท์ที่ทุกคนในโลกสามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้ควรเผยแพร่สถิติที่เปรียบเทียบได้ในระดับนานาชาติ เพื่อให้สามารถประเมินสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงของจีนได้อย่างแม่นยำ

หากรัฐบาลของสีไม่สามารถทำให้จีนอยู่บนพื้นฐานเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ในแง่ของคำศัพท์ ช่องว่างของการรับรู้ที่หลี่เปิดขึ้นเมื่อปลายเดือนที่แล้วจะยิ่งกว้างขึ้นไปอีก

อ้างอิง: Nikkei Asia