เงินเฟ้อ-ไข้หวัดนก พ่นพิษ ‘สหรัฐ’ หวนคืนวิกฤติ ‘ไข่แพง’
ราคาไข่ใน “สหรัฐ” เพิ่มสูงขึ้น กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง เพราะชาวอเมริกันไม่เพียงกังวลภาวะเงินเฟ้อ แต่ยังสงสัยราคาไข้ที่แท้จริง และสถานการณ์ไข้หวัดนกที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง
KEY
POINTS
KeyPoints
- การปรับขึ้นราคาไข่ และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ รวมถึงอาหารฟาสต์ฟู้ด ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ชาวอเมริกันให้ความสนใจ เพราะต้องเผชิญกับต้นทุนราคาอาหารที่สูงขึ้น สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
- ขณะนี้ราคาไข่ได้พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง จนต้องจับตาใกล้ชิด เพราะตอนนี้ ราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 42% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค. 2021
- ราคาไข่หนึ่งโหลเพิ่มขึ้นเพียงไม่กี่เซ็นต์ อาจดูไม่มากนัก แต่เมื่อเทียบกับราคาสินค้าทุกอย่างก็สูงขึ้นเช่นกัน ขณะที่สถานการณ์เงินเฟ้อก็ดูเหมือนจะไม่คลี่คลายในเร็วๆนี้ นั่นหมายถึงส่งกระทบเงินในกระเป๋าชาวอเมริกันอย่างรุนแรง
เว็บไซต์ซีเอ็นบีซีรายงานในวันนี้ว่า เดือนกรกฎาคม เป็นเดือนที่สามติดต่อกันที่ราคาไข่ปรับเพิ่มขึ้น และถือเป็นการพลิกกลับของราคาไข่ที่ได้ลดลงจากเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมีสาเหตุหลักจากเผชิญการรับมือสถานการณ์แพร่ระบาดไข้หวัดนกต่อเนื่อง
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในสัปดาห์นี้ชี้ว่า เมื่อเดือน ก.ค. ราคาวัตถุดิบอาหารหลักในครัวเรือนพุ่งสูงขึ้น 19.1% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน พบว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั้งตะกร้าเพิ่มขึ้นเพียง 2.9%
เงินเฟ้อที่กระทบต่อราคาไข่ กลายเป็นประเด็นที่ผู้บริโภคให้ความสนใจในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด จนถึงปัจจุบัน เพราะไข่เป็นอาหารหลักในชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกคนต้องซื้อติดบ้านไว้
ดังนั้นการปรับขึ้นราคาไข่ และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ รวมถึงอาหารฟาสต์ฟู้ด ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ชาวอเมริกันให้ความสนใจ เพราะต้องเผชิญกับต้นทุนราคาอาหารที่สูงขึ้น สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ภาวะเงินเฟ้อล่าสุด ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับราคาไข่ที่พุ่งสูงขึ้นเกือบ 8% นับตั้งแต่เดือน มี.ค. - เม.ย. และอาจเชื่อมโยงกับสถานการณ์ ไข้หวัดนก ซึ่งถือเป็นการปรับราคาเพิ่มขึ้นรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ ปี 2023
คริทลินน์ ฮับเบลล์ นักวิเคราะห์วิจัยตลาดจากศูนย์วิเคราะห์ความต้องการอาหารและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยเพอร์ดู ในเมืองเวสต์ลาฟาแยตต์ รัฐอินเดียนา ประเทศสหรัฐ กล่าวว่า สิ่งนี้สะท้อนโรคไข้หวัดนกยังระบาดในสหรัฐอยู่
“เราได้คำตอบสั้นๆ ที่ชัดเจน แม้จะเป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ไข้หวัดนกยังคงระบาดอยู่” นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยเพอร์ดูกล่าว
ไข้หวัดนกเคยระบาดหนักในปี 2022 และกลับมาระบาดอีกครั้งในช่วงปลายปี 2023 ล่าสุดทางการไม่ค่อยพูดถึงนัก แต่ฮับเบลล์ชี้ว่า ขณะนี้มีการระบาดซ้ำในโคโลราโด และแคลิฟอร์เนียส่งผลต่ออุปทานไข่ที่จำกัด
ฮับเบลล์กล่าวว่า อุปสงค์ไข่ในสหรัฐ “ไม่ผันผวน” ซึ่งหมายความว่าผู้บริโภคมักซื้อในปริมาณเท่าเดิม ไม่ว่าราคาไข่จะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ในทางกลับกันได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้บริโภคไม่ซื้อกักตุนไข่ไว้ แม้เห็นว่าในช่วงนั้นราคาไข่จะลดลง
สินค้าใดที่มีอุปสงค์ไม่ค่อยผันผวน เมื่อเจอสถานการณ์อุปทานเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย มักจะส่งผลต่อราคาปรับเพิ่มขึ้นทันที นั่นหมายถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดไข้หวัดนก ย่อมส่งผลต่อราคาตามที่ลูกค้าเห็นป้ายแสดงบนชั้นวางสินค้าในร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต
ดังนั้นราคาไข่โดยเฉลี่ยที่สูงขึ้น เกรด A ขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งโหลพุ่งสูงถึง 3 ดอลลาร์ในเดือน ก.ค. ซึ่งปรับราคาขึ้นสูงสุดครั้งแรกในรอบกว่าหนึ่งปี ตามข้อมูลสถิติของสหรัฐ
"แม้ขณะนี้ราคาไข่กลับมาสูงขึ้นอีก แต่ราคายังคงต่ำกว่าระดับปีที่แล้วมากกว่า 20% ถึงอย่างไรต้องจับตาใกล้ชิด เพราะราคาไข่ตอนนี้ เพิ่มขึ้นประมาณ 42% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค. 2021" ฮับเบลล์ระบุ
อย่างไรก็ตาม ส่วนแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น ฮับเบลล์กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของราคาไข่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ไข้หวัดนก หวังว่าผู้บริโภคจะโล่งใจขึ้นบ้าง เพราะฤดูร้อนที่มาถึงอาจช่วยให้การแพร่ระบาดน้อยลง
เทียบไข่แพง 50 รัฐ
เมื่อย้อนกลับไปดูราคาไข่เฉลี่ยในแต่ละรัฐ ปี 2023 ราคาไข่เฉลี่ยต่อโหลในแต่ละรัฐ อาจทำให้คุณแปลกใจที่พบว่า ราคาไข่แต่ละแห่งแตกต่างกันมาก ตารางด้านล่างนี้แสดงถึงรายละเอียดราคาไข่ ใน 50 รัฐของสหรัฐ โดยอ้างอิงจากข้อมูลของ Instacart แสดงราคาในช่วงที่ขาดแคลนไข่ ทำให้มีราคาสูงขึ้น
รัฐที่มีราคาไข่แพงที่สุด
ในรายงานพบว่า รัฐบางแห่งมีราคาไข่ เฉลี่ยต่อหนึ่งโหลแพงกว่ารัฐอื่นๆ นี่คือ 10 รัฐที่มีราคาขายต่อหนึ่งโลสูงที่สุด ได้แก่ ฮาวาย ฟลอริดา อลาบามา เนวาดา แคลิฟอร์เนีย แอริโซนา จอร์เจีย ไวโอมิง เมน และโคโลราโด
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เงินเฟ้อย่อมส่งผลให้สินค้าทุกอย่างมีราคาแพงขึ้น ประกอบกับการที่สหรัฐต้องรับมือกับการแพร่ระบาดไข้หวัดนก ส่งผลต่ออุปทานไข่ที่จำกัด ซึ่งความแตกต่างของราคาไข่หนึ่งโหลเพียงไม่กี่เซ็นต์ อาจดูไม่มากนัก แต่เมื่อเทียบกับราคาสินค้าทุกอย่างก็สูงขึ้นเช่นกัน ขณะที่สถานการณ์เงินเฟ้อก็ดูเหมือนจะไม่คลี่คลายในเร็วๆนี้ นั่นหมายถึงส่งผลกระทบเงินในกระเป๋าชาวอเมริกันอย่างรุนแรง