CEO สแตนชาร์ด เชื่อวิกฤติอสังหาฯ จีน 'ยังไม่ถึงจุดต่ำสุด'

CEO สแตนชาร์ด เชื่อวิกฤติอสังหาฯ จีน 'ยังไม่ถึงจุดต่ำสุด'

ซีอีโอ 'สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด' เชื่อวิกฤตการณ์ในภาคอสังหาฯ ของจีน 'ยังไม่ถึงจุดต่ำสุด' แม้จะเจ็บมาเยอะในปีที่แล้ว คาดรัฐบาลจะประคองไปเรื่อยๆ แต่จะไม่แก้ปัญหาด้วยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่

บิล วินเทอร์ส ซีอีโอของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (สแตนชาร์ด) ระบุว่า ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนนั้นยังลงไป "ไม่ถึงจุดต่ำสุด" แม้ว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความผันผวนในปีที่แล้วก็ตาม โดยสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนในจีนเป็นไปอย่าง "ยากลำบาก" เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ

"เราทราบดีว่ามีคำถามมากมายเกี่ยวกับความเชื่อมั่นซึ่งมีต้นตอมาจากภาคอสังหาฯ ในจีน แต่ตลาดอสังหาฯ ยังลงไปไม่ถึงจุดต่ำสุด และแย่ลงแบบช้าๆ" วินเทอร์ส กล่าวกับซีเอ็นบีซี และระบุด้วยว่าแม้ที่ผ่านมาจะมีสัญญาณบวกเพิ่มขึ้นบ้างเป็นระยะๆ แต่ก็ยังมองไม่เห็นจุดต่ำสุดในแง่ของราคา 

สิ่งที่อันตรายก็คือ ภาวะฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาฯ มักจะเป็นสัญญาณเตือนถึง "วิกฤตการณ์ทางการเงิน" และบ่อยครั้งที่ตามมาด้วยการทรุดตัวลงของจีดีพีอย่างรุนแรง เมื่อเทียบจากหลายประเทศที่เคยเกิดขึ้น

ที่ผ่านมา รัฐบาลปักกิ่งได้ออกมาตรการหลายอย่างเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และล่าสุดคือ การอนุญาตให้ผู้ซื้อบ้านสามารถรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน เพื่อให้มีเงินเหลือสำหรับการบริโภคได้มากขึ้น

ซีอีโอสแตนชาร์ดอธิบายถึงเหตุผลที่จีนไม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ว่า เป็นเพราะเห็นบทเรียนมาตรการที่ประเทศอื่นๆ ใช้ในช่วงการระบาดระลอกแรกของโควิด-19 ซึ่งเป็นภาระตามมาทำให้เศรษฐกิจมีระดับหนี้สาธารณะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

"ผมคิดว่าเราจะได้เห็นการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดเล็กออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการทางการเงิน และการคลัง เพื่อให้แน่ใจว่าจีนจะไม่เข้าสู่วังวนที่เลวร้ายจนยากที่จะฟื้นตัวได้... เราคาดหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะเพียงพอ แต่จะไม่ใช่มาตรการขนานใหญ่แน่ๆ" วินเทอร์ส กล่าว

ดังนั้นจึงเป็นที่คาดว่าสถานการณ์ของจีนอาจจะน่าอึดอัดเล็กน้อยในระยะสั้น แต่จะเป็นเรื่องดีในแง่การคลัง

ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับ เหา ฮง หุ้นส่วน และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทโกรว์ อินเวสต์เมนท์ กรุ๊ป ที่เปิดเผยกับซีเอ็นบีซีว่า ยังไม่มีสัญญาณว่าจีนจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งอาจเป็นเพราะแรงกดดันด้านราคาในขาลงทั้งเชิงโครงสร้าง และเชิงวัฏจักรที่จีนกำลังเผชิญอยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์

ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนขยายตัวได้เพียง 4.7% ในไตรมาสสองปีนี้ ลดลงจาก 5.3% ในไตรมาสแรก และยังเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 2566 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา ได้ปรับลดคาดการณ์จีดีพีจีนทั้งปี 2567 ลงมาอยู่ที่ 4.8% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 5% และยังปรับลดคาดการณ์จีดีพีในปีหน้า และปีถัดไปอยู่ที่ 4.5% ทั้งคู่ หรือลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 4.7%
 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์