ตลาด EV ชะลอกด ‘5 ค่ายยุโรป’ ลดกำลังผลิต สะเทือนแรงงานอุตฯ ยานยนต์เยอรมนี
ตลาด EV ชะลอกด ‘5 ค่ายยักษ์ยุโรป’ ลดกำลังการผลิต หลังยอดขายยังต่ำกว่าก่อนเกิดโควิด ติดลบ 3 ล้านคัน สะเทือนแรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์เสาหลักเศรษฐกิจ 'เยอรมนี'
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า โรงงานผลิตเกือบ 3 ใน 10 แห่งของ 5 ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติยุโรปอย่าง โฟล์คสวาเกน BMW, Mercedes-Benz, Stellantis, Renault และ VW ถูกใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพในปีที่แล้ว และผลิตยานยนต์ได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตทั้งหมด รวมทั้งมีการประกาศปิดโรงงาน ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย
ยอดขายของรถยนต์สัญชาติยุโรปยังคงต่ำกว่าระดับก่อนโรคระบาดโควิด-19 กว่า 3 ล้านคัน ส่งผลกระทบต่อโรงงานผลิตที่ต้องปิดตัวลงชั่วคราว และพนักงานจำนวนมากต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงตกงาน จากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่ชะลอตัวลง และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอย่าง BYD หลังจาก Tesla Inc.'s Model Y กลายเป็นรถยนต์ขายดีที่สุดในภูมิภาคเมื่อปีที่แล้ว
โรงงานผลิตรถยนต์รายใหญ่ในยุโรปกว่าหนึ่งในสามทำงานต่ำกว่าครึ่งกำลังการผลิต
ข้อมูลปี 2023 จากโรงงานผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของ BMW, Mercedes, Renault, Stellantis และ Volkswagen
แมทเทียส ชมิดท์ นักวิเคราะห์อิสระด้านยานยนต์มองว่ามีผู้ผลิตรถยนต์หลายรายที่กำลังต่อสู้เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดที่เล็กลง ซึ่งโรงงานผลิตบางแห่งอาจต้องปิดตัวลงอย่างแน่นอน
ภัยคุกคามของการปิดโรงงานในยุโรปทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการขาดแคลนแรงงานทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มขึ้นจากระดับที่สูงอยู่แล้วอันเนื่องมาจากสงครามในยูเครน และความล้มเหลวในการปรับปรุงสถานการณ์จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้
อุตสาหกรรมยานยนต์คิดเป็นมากกว่า 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของสหภาพยุโรป และสร้างงานมากกว่า 13 ล้านตำแหน่ง ซึ่งโรงงานผลิตรถยนต์เป็นเสาหลักของชุมชน การปิดโรงงานจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ผู้จัดหาชิ้นส่วนเครื่องยนต์ และบริษัทขนส่งไปจนถึงเบเกอรี่ท้องถิ่นที่ส่งมอบขนมปังให้กับโรงอาหารของพนักงาน และทำให้เกิดการว่างงานจำนวนมาก
สถานการณ์ในอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนีกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ หลังจากครองความเป็นผู้นำในการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในมาหลายทศวรรษ ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ และซัพพลายเออร์กำลังต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้า
ฟาเบียน แบรนท์ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมจากบริษัทที่ปรึกษา Oliver Wyman มองว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปกำลังเผชิญกับแรงกดดัน และทำให้เกิดการควบรวมกิจการครั้งใหญ่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุน โดยโรงงานที่ผลิตไม่คุ้มค่าจะถูกปิดตัวลง ขณะที่โรงงานอื่นๆ ก็ต้องปรับตัวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สามารถอยู่รอดในสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
อัตราการใช้กำลังการผลิตในโรงงานผลิตรถยนต์นั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลกำไรของบริษัท โดยระดับของกำลังการผลิตที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามประเภทของผลิตภัณฑ์และความสามารถในการปรับตัวของแต่ละบริษัท ผู้ผลิตรถยนต์สามารถลดต้นทุนการผลิต เช่น ค่าแรง ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ เพื่อชดเชยผลผลิตที่ลดลงได้ในระดับหนึ่ง
ไมเคิล ดีน นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ได้ให้ความเห็นว่า โรงงานผลิตรถยนต์ที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำกว่า 50% นั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะขาดทุน แม้ว่าบริษัทจะพยายามลดต้นทุนการผลิตแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยรายได้ที่หายไปจากการผลิตที่ลดลง
‘อีวี’ เบียดรถสันดาป
อุตสาหกรรมยานยนต์โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากการชะลอตัวของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หลายราย อาทิ Volkswagen และ Volvo ต่างปรับลดเป้าหมายการผลิต และจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าลง เนื่องจากความต้องการของตลาดที่ไม่เป็นไปตามคาด ส่งผลให้ซัพพลายเออร์ที่ผลิตชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการขาดทุน และเลิกกิจการ
คาร์ลอส ตาบาเรส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Stellantis ซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องการลดต้นทุน ก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันเช่นกัน หลังจากที่กำไรของบริษัทลดลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ผู้ผลิตรถยนต์ SUV อย่าง Jeep ก็ประสบปัญหาในการแข่งขันในตลาดสหรัฐอเมริกา ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมนีอย่าง Volkswagen และ BMW กำลังเผชิญกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งจากผู้ผลิตรถยนต์จีนในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อ้างอิง Bloomberg
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์
