ตลาด ‘ลักชัวรี’ ยังไม่ผ่านจุดต่ำสุด จีนฉุดแบรนด์หรูทั่วโลกลงต่อปีหน้า

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มูลค่าหุ้นของแบรนด์สินค้าหรูทั่วโลกหายวับไปแล้วถึง 2.4 แสนล้านดอลลาร์ จนกระทั่งหุ้นแบรนด์ดังฝั่งอังกฤษอย่าง Burberry ถูกถอดออกจากดัชนี FTSE 100
แต่ที่สำคัญก็คือ บรรดานักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่าภาวะขาลงของตลาดสินค้าหรูอาจยังไม่จบลงง่ายๆ ในปีนี้ หรือแม้แต่ปีหน้า
หุ้นของกลุ่มบริษัทสินค้าหรูในยุโรปเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหุ้นเมกะแคปที่เทียบชั้นได้กับ “หุ้น 7 นางฟ้า” ในกลุ่มเทคโนโลยีของฝั่งสหรัฐ โดยเฉพาะหุ้น LVMH ที่เคยมีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของฝั่งยุโรป ทว่าตลอดช่วงหลายเดือนมานี้ สถานการณ์ของตลาดสินค้าลักชัวรีกลับเผชิญภาวะขาลงกันอย่างถ้วนหน้า
สำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์หรูกำลังซบเซาเนื่องจากการใช้จ่ายที่ลดลง และสิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าก็คือ สัญญาณว่าบรรดาเศรษฐีชาวจีนที่เคยแห่กันไปชอปปิงที่บูติกหรูในปารีส มิลาน และฮ่องกง “อาจจะไม่กลับมาอีก” เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจขาลงในจีนเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันความต้องการสินค้าราคาแพงของคนกลุ่มนี้
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นสินค้าหรูลดลงอย่างรวดเร็วก็คือ การชะลอตัวของ “เศรษฐกิจจีน” ซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคสินค้าหรูรายใหญ่ที่สุดในโลก และการลดลงของกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวจีนส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายและผลกำไรของบริษัทสินค้าหรูยุโรป เช่น เสื้อผ้า กระเป๋าถือ และเครื่องประดับไฮเอนด์
ฟลาวิโอ เซเรดา ผู้จัดการฝ่ายการลงทุนของจีเอเอ็ม ยูเค ระบุว่า สถานการณ์ตลาดในปัจจุบันนั้นรุนแรงกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นการปรับตัวหลังจากช่วงเวลาแห่งการเติบโตอย่างรวดเร็วหลังการคลายล็อกดาวน์โควิด-19 ซึ่งผู้คนที่อัดอั้นกลับมาใช้ชีวิตกินดื่มช้อปกันอย่างเต็มที่
ในขณะที่แบรนด์หรูยักษ์ใหญ่ประเทศเดียวกันอย่าง “แอลวีเอ็มเอช” (LVMH) เจ้าของแบรนด์คริสเตียน ดิออร์ (Christian Dior) และหลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) ซึ่งเคยครองตำแหน่งมูลค่าสูงสุดของหุ้นในยุโรปเมื่อปีที่แล้ว ก็ร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 2
ภาวะฟองสบู่แตกในกลุ่มสินค้าหรูหลังโควิด-19 ยังเห็นได้ชัดจากรายงานผลประกอบการล่าสุดของบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมนี้ อย่างเคอร์ริง, เบอร์เบอรี่ และฮิวโก้ บอสต่างออกมาส่งสัญญาณเตือนถึงผลประกอบการ เนื่องจากความต้องการสินค้าหรูชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
รวมถึงแอลวีเอ็มเอชก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยรายได้จากสินค้าเครื่องหนังที่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจเติบโตเพียง 1% เท่านั้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งลดลงจากอัตราการเติบโตที่เคยสูงถึง 21%
อย่างไรก็ดี มีเพียงแค่แบรนด์หรูไฮเอนด์ระดับท็อบสุดอย่าง “แอร์เมส” (Hermes) และ "บรูเนลโล คูซิเนลลี” (Brunello Cucinelli) เท่านั้นที่ยังคงรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
ตลาดหรูจ่อซึมยาวกว่าที่คาด
เซราดาซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมบริหารกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าหรูของ GAM มีมุมมองเชิงบวกต่ออนาคตของอุตสาหกรรมโดยคาดการณ์ว่า ยอดขายสินค้าหรูจะเริ่มฟื้นตัวในปีหน้า โดยจะขยายตัวอย่างน้อยในช่วงกลางๆ ของเลขหลักเดียว (ประมาณ 5%) ซึ่งเป็นเทรนด์ระยะยาวของอุตสหกรรม
อย่างไรก็ตาม ในหมู่นักลงทุนยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกัน บางส่วนมีความกังวลว่ารายได้ที่ลดลงและอัตรากำไรที่ต่ำลงในปัจจุบันอาจจะกลายเป็น “เรื่องปกติ” (new normal) ในอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ก็เป็นได้
ซูซานนา พุซ นักวิเคราะห์ของธนาคารยูบีเอสเปิดเผยว่า แนวโน้มของตลาดสินค้าหรูในปัจจุบันกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยคาดการณ์ว่าการเติบโตของภาคส่วนนี้จะ “ชะลอตัวลงลงนานขึ้น” ซึ่งขัดกับช่วงเวลาเฟื่องฟูที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยูบีเอสได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของยอดขายในปี 2568 และช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เนื่องจากปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง
“ทิฟฟานี่ แอนด์ โค” (Tiffany & Co.) แบรนด์จิวเวลรี่พรีเมียมของแอลวีเอ็มเอช ประกาศลดขนาดร้านสาขาหลักในเซี่ยงไฮ้ลงครึ่งหนึ่ง ในขณะที่ “เฮอริเทจ” หนึ่งห้างสรรพสินค้าหรูในฮ่องกงซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสวรรค์ของนักช้อปแบรนด์หรูแทบจะร้างผู้คนไปแล้ว และผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำของสวิตเซอร์แลนด์หลายรายถึงขั้นต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาล เพื่อรักษาธุรกิจและพนักงานเอาไว้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางส่วนมองว่าราคาหุ้นสินค้าหรูที่ปรับตัวลดลงในปัจจุบัน “เป็นโอกาสในการเข้าลงทุน” แม้ว่าดัชนี MSCI Europe Textiles Apparel & Luxury Goods จะยังคงซื้อขายที่ราคาสูงกว่าดัชนี MSCI Europe แต่ราคาหุ้นของบริษัทในภาคสินค้าหรูก็ปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดเมื่อปี 2564 อย่างมาก
เจเลน่า โซโคโลวา นักวิเคราะห์จากมอนิ่งสตาร์มองเห็นโอกาสในเคอริง โดยเฉพาะกุชชีซึ่งเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเชื่อว่าจะสามารถฟื้นตัวได้เมื่อเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น ในขณะที่เซเรด้าจากจีเอเอ็มมีมุมมองเชิงบวกต่อแบรนด์ระดับท็อปของกลุ่มอย่างแอร์เมสมากกว่า