ราคากาแฟพุ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี ปีนี้ 'อราบิก้า' แพงขึ้นแล้ว 40%
ราคากาแฟ 'อราบิก้า' พุ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี หลังปัญหาขาดแคลนผลผลิตพันธุ์ 'โรบัสต้า' ลามกระทบ ขณะที่ตลาดเริ่มตอบรับ Specialty coffee มากขึ้น ดันร้านกาแฟแห่ขึ้นราคา
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สัญญาฟิวเจอร์เมล็ดกาแฟอราบิก้าในตลาดนิวยอร์ก ปรับตัวขึ้นถึง 4.8% ไปอยู่ที่ 2.718 ดอลลาร์/ปอนด์ เมื่อวันจันทร์ที่ 16 ก.ย. ซึ่งเป็นราคาที่สูงที่สุดในรอบ 13 ปี
เฉพาะในปี 2567 นี้ ราคากาแฟอราบิก้าปรับตัวขึ้นไปแล้วถึง 40% จากผลพวงที่ซัพพลายเมล็ดกาแฟพันธุ์ "โรบัสต้า" ที่มีราคาถูกว่ามีจำนวนลดลง ทำให้ตลาดต้องหันไปหาเมล็ดอราบิก้าแทน และยังมาจากการที่ตลาดกาแฟตอบรับกาแฟประเภท Specialty coffee มากขึ้นด้วย
ร้อน-แล้งใน 'บราซิล' ทำพิษ
ราคากาแฟพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสภาพอากาศที่เลวร้ายใน "บราซิล" ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยบราซิลกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตในปี 2567-2568 และมีแนวโน้มจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ลดลง เนื่องจากปัญหาสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้งจนส่งผลกระทบต่อไร่กาแฟ
"ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ" โคนา เฮก หัวหน้าฝ่ายวิจัยที่ ED&F Man กล่าว พร้อมชี้ให้เห็นถึงสภาพในพื้นที่ปลูกกาแฟหลักของบราซิลและการคาดการณ์ว่าฝนจะไม่ตกในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
ขณะนี้ความสนใจของตลาดกำลังมุ่งไปที่สภาพอากาศในปีฤดูหน้า หลังจากที่บราซิลเพิ่งเผชิญกับ "ภัยแล้งครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ" และเป็นที่คาดว่าปัญหานี้จะต่อเนื่องไปถึงฤดูกาลหน้าและกระทบต่อผลผลิตกาแฟต่อไป
"แนวโน้มผลผลิตกาแฟอาราบิก้าในปีการผลิต 2025/26 ยังแขวนอยู่บนเส้นด้าย” คาร์ลอส เมรา นักวิเคราะห์ของราโบแบงก์กล่าว โดยปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ปลูกกาแฟอาราบิก้าต่ำกว่าระดับปกติอย่างต่อเนื่องมานับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูแล้งในเดือนเมษายน
"ปัญหานี้ยังเกิดขึ้นในช่วงที่อุตสาหกรรมกาแฟกำลังประสบปัญหาหลายอย่างเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทั้งความแออัดในท่าเรือของหลายประเทศ การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลก ปัญหาในทะเลแดง รวมถึงการเก็บเกี่ยวที่น่าผิดหวังในเวียดนามด้วย"
นอกจากราคากาแฟอราบิก้าที่พุ่งสูงแล้ว ราคากาแฟ "โรบัสตา" ก็ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในรอบหนึ่งสัปดาห์เช่นกัน โดยพุ่งขึ้นถึง 4.2% ในวันจันทร์ที่ผ่านมา
ร้านกาแฟแห่ขึ้นราคาในปีนี้
ผลกระทบจากราคาเมล็ดกาแฟที่พุ่งขึ้นในปีนี้เห็นได้ชัดเจนในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก บริษัท JM Smucker Co. ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์กาแฟ Folgers และ Café Bustelo ซึ่งครองตลาดกาแฟสำเร็จรูปในสหรัฐ ได้ "ปรับขึ้นราคา" เมื่อต้นฤดูร้อนปีนี้ และเมื่อเดือนที่แล้วก็ประกาศจะปรับขึ้นราคาอีกครั้งในช่วงต้นเดือนตุลาคม
ขณะที่เครือร้านอาหาร Pret A Manger ได้ประกาศยกเลิกระบบการสมัครสมาชิกกาแฟในสหราชอาณาจักร (UK) ที่ให้สมาชิกสามารถดื่มกาแฟได้มากถึง 5 แก้วต่อวัน เนื่องจากราคากาแฟที่แพงขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่กาแฟเท่านั้นที่แพงขึ้นในวงการ "ธุรกิจเครื่องดื่ม" ก่อนหน้านี้ "ราคาน้ำส้ม" ก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกันเนื่องจากผลผลิตที่ไม่เพียงพอ ในขณะที่ราคาของ "โกโก้" ที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ก็ส่งผลให้ต้นทุนเครื่องดื่มและของหวานที่ทำจากช็อกโกแลตแพงขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ราคาของสินค้าหลักอื่นๆ เช่น ธัญพืช ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เงินเฟ้อด้านอาหารโดยรวมลดลง