เผยฉากทัศน์ ‘ตลาดหุ้น-บอนด์’ สหรัฐ ผ่านชัยชนะของ 2 คู่ชิงประธานาธิบดี

เผยฉากทัศน์ ‘ตลาดหุ้น-บอนด์’ สหรัฐ  ผ่านชัยชนะของ 2 คู่ชิงประธานาธิบดี

ผลสำรวจบ่งชี้ นักลงทุนมองชัยชนะของ ‘แฮร์ริส’ จะดีต่อตลาดตราสารหนี้ แต่ตลาดหุ้นจะดีกว่าถ้า ‘ทรัมป์’ เป็นฝ่ายชนะ แต่ไม่ว่าใครจะชนะตลาดหุ้นสหรัฐคาดว่าจะยังคงสดใสต่อเนื่องยาว

ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งมีรายงานข่าวในรอยเตอร์สว่า บรรดาผู้บริหารบริษัทในวอลล์สตรีทหลายรายยังสงวนท่าทีไม่ยอมบอกว่าสนับสนุนผู้สมัครคนใดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะกังวลว่านโยบายของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะกระทบเศรษฐกิจ แต่ก็เกรงว่านโยบายของรองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส จะเอียงซ้ายมากเกินไป

ล่าสุดสำนักข่าวบลูมเบิร์กได้สำรวจความเห็นนักลงทุนสถาบันในวอลล์สตรีท ถึงฉากทัศน์ในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้สหรัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นในกรณีหากผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครตเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งผลสำรวจบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นจะตอบรับทรัมป์มากกว่า ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้จะตอบรับแฮร์ริสดีกว่า

ผลสำรวจจาก Bloomberg MLIV Pulse ระบุว่า นักลงทุนมากถึง “ครึ่งหนึ่ง” หรือราว 50% จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นหากทรัมป์เป็นฝ่ายชนะ สูงกว่าแฮร์ริสซึ่งอยู่ที่เพียง 28% เท่านั้น ในทางกลับกัน นักลงทุนจะลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นลงถึง 37% หากแฮร์ริสเป็นฝ่ายชนะ สูงกว่าทรัมป์ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 26% สะท้อนว่าตลาดหุ้นจะตอบรับผู้ชนะจากพรรครีพับลิกันที่มีแนวนโยบายเอื้อประโยชน์ต่อตลาดหุ้นมากกว่า

 

ทว่าในส่วนของตลาดตราสารหนี้กลับให้ทิศทางคนละด้านเพราะมองว่าชัยชนะของเดโมแครตจะเป็นผลดีต่อตลาดบอนด์มากกว่า โดยผลสำรวจระบุว่า ในกรณีหากแฮร์ริสเป็นฝ่ายชนะ นักลงทุนจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดตราสารหนี้เป็น 30% หรือสูงกว่าเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับทรัมป์ที่ 17% ในทางกลับกัน นักลงทุนจะลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ลงเพียง 23% หากแฮร์ริสเป็นฝ่ายชนะ หรือน้อยกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับทรัมป์ที่ 46%

เผยฉากทัศน์ ‘ตลาดหุ้น-บอนด์’ สหรัฐ  ผ่านชัยชนะของ 2 คู่ชิงประธานาธิบดี

อย่างไรก็ตาม จากผลการสำรวจผู้จัดการกองทุน นักค้า และนักเศรษฐศาสตร์ 340 คนในครั้งนี้ เสียงส่วนใหญ่ถึง 54% ให้ความเห็นตรงกันว่ายังไม่ได้ปักธงเลือกข้างว่าใครจะเป็นผู้ชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. นี้ และความเห็นก็อาจเปลี่ยนไปได้อีกในช่วง 5 สัปดาห์ที่เหลือก่อนการเลือกตั้ง เนื่องจากความเห็นนี้ส่วนใหญ่มีขึ้นในช่วงของการดีเบตเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ จากประวัติศาสตร์การเลือกตั้งสหรัฐครั้งที่ผ่านๆ มาพบว่า “ตลาดหุ้นสหรัฐมักปรับตัวขึ้นเสมอไม่ว่าผู้สมัครจากพรรคใดจะชนะการเลือกตั้งก็ตาม” 

แซม สโตวัล หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของบริษัทวิจัย ซีเอฟอาร์เอ รีเสิร์ช กางผลตอบแทนเฉลี่ยรายปีของดัชนี S&P 500 ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2488 พบว่า ผลตอบแทนเฉลี่ยของผู้ชนะจากพรรคเดโมแครตจะอยู่ที่ประมาณ 11% และพรรครีพับลิกันอยู่ที่ประมาณ 7%

ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐในช่วง 6 คนที่ผ่านมา มีเพียงยุคของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช จากพรรครีพับลิกันเพียงคนเดียวเท่าที่ผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งปีของดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง โดยบุชคนลูกเผชิญกับเหตุวินาศกรรมสหรัฐ 11 ก.ย. 2544 ในปีแรกของการเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐ และพ้นจากตำแหน่งในปีที่เกิดวิกฤตการณ์ซับไพรม์ในปี 2552

นักลงทุนราว 2 ใน 3 รายที่ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า ตลาดหุ้นสหรัฐจะมีผลงานดีกว่าตลาดหุ้นโลกในช่วง 4 ปีข้างหน้า โดยความนิยมในหุ้นของสหรัฐในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่เกิดจากกระแสความนิยมที่มีต่อปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และตลาดในประเทศ นำโดยหุ้นเมกะแคปของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น อินวิเดีย คอร์ป และแอปเปิ้ล อิงค์ ซึ่งคาดว่าจะยังคงครองตลาดต่อไป

สำหรับทิศทางตลาดบอนด์สหรัฐนั้น อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงและแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องทั้งในปีนี้และปีหน้า หลังจากลดไปแล้วถึง 0.50% เมื่อเดือนที่แล้ว ได้ช่วยให้ตลาดพันธบัตรสหรัฐปรับตัวดีขึ้นในปี 2567 นี้ และผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ต่างคาดการณ์ว่าราคาพันธบัตรจะยังคงปรับตัวขึ้นต่อในยุคของประธานาธิบดีคนใหม่

แม้ว่าโดยปกติแล้ว การผ่อนปรนนโยบายทางการเงินมักจะส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลงและราคาเพิ่มสูงขึ้น แต่แผนการคลังที่ “ก่อหนี้เพิ่ม” มักจะส่งผลตรงกันข้าม และผู้สมัครทั้งสองคนต่างก็มีแผนเพิ่มการกู้ยืมของรัฐบาลด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะทรัมป์ที่เสนอขยายการลดภาษีภายใต้กฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act ปี ค.ศ. 2017 ซึ่งบลูมเบิร์กระบุว่าอาจส่งผลให้หนี้ต่อจีดีพีของสหรัฐพุ่งทะยานแตะ 142% ภายใน 10 ปีข้างหน้า หรือสูงกว่าหลังช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงราว 20%

อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าสหรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีคนต่อไปได้ โดยที่ผ่านมาสหรัฐเคยถูกปรับลดอันดับเครดิตเพียงสองครั้งเท่านั้นในประวัติศาสตร์