‘โนมูระ’ เตือนระวัง ‘หุ้นจีน’ ขาขึ้นเสี่ยงเกิด ‘ฟองสบู่’ ดิ่งเหวเหมือนปี 58 

‘โนมูระ’ เตือนระวัง ‘หุ้นจีน’ ขาขึ้นเสี่ยงเกิด ‘ฟองสบู่’ ดิ่งเหวเหมือนปี 58 

‘โนมูระ โฮลดิงส์’ เตือนระวัง ‘หุ้นจีน’ ขาขึ้น เกิด ‘ฟองสบู่แตก’ ดิ่งเหวเหมือนปี 58 กังวลรัฐบาลรับมือไม่ไหวหลังเศรษฐกิจเปราะบางรุนแรงจากวิกฤติอสังหาฯ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “โนมูระ โฮลดิงส์” (Nomura Holdings) เตือนนักลงทุนควรเตรียมรับมือกับการปรับขึ้นราคาหุ้นครั้งใหญ่ที่สุดในจีนในรอบ 16 ปีที่อาจจะกลายเป็นภาวะ “ฟองสบู่แตก” เนื่องจากเศรษฐกิจมีฐานที่อ่อนแอกว่ามากเมื่อเทียบกับก่อนเกิดโรคระบาด

ติง ลู นักเศรษฐศาสตร์ของโนมูระระบุว่า ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ตลาดหุ้นจะร่วงลงอย่างรวดเร็วและเกิดภาวะวิกฤติคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2558 ซึ่งดูเหมือนว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นจะเผชิญกับภาวะวิกฤตินั้นสูงกว่าสถานการณ์ที่ตลาดจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีหุ้นอ้างอิงของจีนได้สร้างปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยปรับตัวสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งจนแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งถือเป็นการเข้าสู่ตลาดกระทิงอย่างเป็นทางการ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายมาตรการ เพื่อพยุงเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ซึ่งส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง 

อย่างไรก็ตาม หลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ตลาดหุ้นภายในประเทศก็ได้ปิดทำการเนื่องในวันหยุด ทำให้นักลงทุนต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อดูว่าแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่

ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน 2557 ถึงมิถุนายน 2558 ดัชนี Shanghai Composite พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะประสบภาวะตลาดหมีรุนแรงในช่วงสองเดือนถัดมา โดยดัชนีลดลงถึง 40%

แม้เศรษฐกิจจะดูสดใสในขณะนี้ แต่ธนาคารเตือนว่านักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน เนื่องจากสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว โดย ลอร่า หว่อง จากมอร์แกน สแตนลีย์ มองว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยคาดการณ์ว่าดัชนีอาจปรับตัวขึ้นสูงขึ้นอีก 10-15% เนื่องจากรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

Nomura ระบุว่า เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความเปราะบางอย่างรุนแรง ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลายประการ อาทิ วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 4 ปี หนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นที่พุ่งสูงขึ้น และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนเตือนว่า หากตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนัก อาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่และรัฐบาลจีนอาจต้องใช้นโยบายการเงินที่รุนแรงขึ้น เช่น การพิมพ์เงิน ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง เงินทุนไหลออก และค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว

เนโอ หวัง กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัยจีนของ Evercore ISI ประจำนิวยอร์ก เตือนว่า หากตลาดหุ้นจีนร่วงหนักซ้ำรอยปี 2558 ผู้นำจีนอาจไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และอาจเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แต่รัฐบาลจีนยังมีเครื่องมือทางการเงินที่ยังไม่ได้นำมาใช้ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (สวอป) และการปล่อยสินเชื่อพิเศษ ซึ่งสามารถช่วยพยุงตลาดหุ้นได้หากสถานการณ์เลวร้ายลง

โนมูระมองว่า ภาวะตลาดหุ้นจีนในปัจจุบันเปรียบเสมือนฟองสบู่ขนาดเล็ก ซึ่งยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า รัฐบาลจีนจะเข้ามาแทรกแซงเพื่อบรรเทาผลกระทบ แต่มาตรการที่ใช้ อาจไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์