เหตุผล ‘ซักเคอร์เบิร์ก - หวง’ รวยล้ำหน้า ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’
“มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” นำธุรกิจเมตา เมิร์จเอไอเข้าร่วมกับ อินวิเดีย ของ “เจนเซน หวง” ทำให้ทั้งสองรวยเพิ่มขึ้น ล้ำหน้ามหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์
KEY
POINTS
Key Points
- สองยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสร้างรายได้มหาศาล เมื่อนำมารวมกัน จะมีมูลค่า 152,000 ดอลลาร์ในปีนี้
- หุ้นของเมตาพุ่งขึ้น 67% ส่วนอินวิเดียพุ่งขึ้น 184% ในแต่ละปี จนถึงราคาซื้อขายปัจจุบัน อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
- นักลงทุนสนใจลงทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกันมากขึ้น จัดว่าสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน นับเป็นเป็นการเดิมพันการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถือเป็นการปฏิวัติขับเคลื่อนโดยไมโครชิปอินวิเดีย ซึ่งทำงานบนแพลตฟอร์มของเมตา
“มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” นำธุรกิจเมตา เมิร์จเอไอเข้าร่วมกับเทคโนโลยี อินวิเดียของเจนเซน หวง ทำให้ทั้งสองรวยเพิ่มขึ้น ล้ำหน้ามหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์
เว็บไซต์บิสสิเนส อินไซด์เดอร์รายงานว่า ซักเคอร์เบิร์ก และหวง มีทรัพย์สินรวมกันเพิ่มขึ้นในปีนี้มากกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเกินกว่าทรัพย์สินสุทธิของวอร์เรน บัฟเฟตต์เสียอีก
ซักเคอร์เบิร์กมีทรัพย์สิน ณ วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (17 ต.ค.) รวมมูลค่า 204,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจัดว่าเป็นบุคคลร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รองจากอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา มีทรัพย์สินอยู่ที่ 242,000 ล้านดอลลาร์ และเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งอเมซอน มีทรัพย์สินอยู่ที่ 210,000 ล้านดอลลาร์
ส่วนหวง ซีอีโอและผู้ก่อตั้งอินวิเดีย บริษัทเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มีทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้น 75,600 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งเขาเป็นรองซักเคอร์เบิร์กเท่านั้น
สองยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีได้สร้างรายได้มหาศาล หากนำมารวมกัน จะมีมูลค่า 152,000 ดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งมากพอที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยระดับโลก
ถ้าดูราคาหุ้นธุรกิจของ ซักเคอร์เบิร์กและหวง รวมกันยังพุ่งสูงถึง 324,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่ามูลค่าโคคาโคลา 301,000 ล้านดอลลาร์ หรือเน็ตฟลิกซ์ 295,000 ล้านดอลลาร์ ในราคาปิดตลาดหุ้นวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
ความร่ำรวยที่เพิ่มขึ้นมหาศาล เป็นผลการดำเนินงานของบริษัทที่พวกเขาถือหุ้นอยู่ ซึ่งซักเคอร์เบิร์กถือหุ้นเมตาประมาณ 13% และหวงถือหุ้นอินวิเดีย 3.5%
หุ้นของเมตาพุ่งขึ้น 67% ส่วนอินวิเดียวพุ่งขึ้น 184% ในแต่ละปี จนถึงราคาซื้อขายปัจจุบันอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
หุ้นเมตาพุ่งขึ้นมากกว่า 6 เท่าที่มีราคาต่ำกว่า 90 ดอลลาร์ ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ไปสู่การซื้อขายที่สูงกว่า 570 ดอลลาร์
ขณะที่หุ้นของอินวิเดีย พุ่งสูงขึ้นจากราคาต่ำกว่า 15 ดอลลาร์ ในช่วงปลายปี 2565 ไปสู่ราคากว่า 135 ดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 800%
ทั้งสองบริษัทได้รับประโยชน์จากกระแสตอบรับเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ อย่างล้นหลาม ซึ่งมาจากการเปิดตัว ChatGPT ในเดือนพฤศจิกายน 2565
นักลงทุนได้สนใจหุ้นเทคโนโลยีมากขึ้นในระดับสูงสุดที่ไม่เคยมีมาก่อน นับเป็นเป็นการเดิมพันการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถือเป็นการปฏิวัติขับเคลื่อนโดยไมโครชิปของอินวิเดีย ซึ่งทำงานบนแพลตฟอร์มของเมตา
ก่อนหน้านี้สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ซักเคอร์เบิร์กเปิดเผยแผนการใช้เอไอในอนาคตของบริษัทคือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลขนาดใหญ่ภายในสิ้นปี 2567 โดยใช้หน่วยประมวลผลกราฟฟิก (GPU) รุ่น H100 ของอินวิเดีย จำนวน 350,000 ชิ้นรวมเข้าด้วยกัน
เมตามีความจำเป็นต้องใช้ชิปคอมพิวเตอร์อันทรงพลังเหล่านี้ ขณะที่บริษัทกำลังดำเนินการวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence) โดยซักเคอร์เบิร์กชี้ว่า สิ่งนี้เป็นแผนบริษัทระยะยาว อย่างไรก็ตามบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น โอเพนเอไอ และ ดีปไมด์ของกูเกิล ก็กำลังวิจัยเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป ถือเป็นรูปแบบเอไอแห่งอนาคต มีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์
อ้างอิง : BusinessInsider, CNBC