ไอเอ็มเอฟคาด ‘อาเซียน’ จะยังคงได้ประโยชน์จาก ‘จีน-สหรัฐขัดแย้งกัน’
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ยังคงก้าวขึ้นเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐที่เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าความเสี่ยงจากโลกแบ่งขั้วจะยังคงมีอยู่
ไอเอ็มเอฟระบุ “เวียดนามได้ประโยชน์สูงสุดทั้งส่งออกโต และการลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้า ในขณะที่ไทยส่งออกชะลอลง”
ตามรายงานของหน่วยงานของสหประชาชาติ ภูมิภาคนี้ได้รับประโยชน์จากโลกาภิวัตน์มาหลายทศวรรษ โดยสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งกับจีนและสหรัฐ ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
แม้ว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนจะแย่ลงในช่วง ไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่อาเซียนก็ได้ปรับตัวและยังคงบูรณาการ กับเศรษฐกิจโลกต่อไป โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศระบุในรายงาน Asia-Pacific Outlook ฉบับล่าสุด ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (1 พ.ย.)
“แม้จะมีความตึงเครียดทาง ภูมิรัฐศาสตร์ อาเซียนยังคงเสริมสร้างความเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุนกับทั้งจีนและสหรัฐ”
ข้อมูลจากไอเอ็มเอฟแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2018 เศรษฐกิจอาเซียนมีส่วนแบ่งตลาดในสินค้าส่งออกไปจีนและสหรัฐเพิ่มขึ้น โดยที่มหาอำนาจดูดซับส่วนแบ่งมูลค่าเพิ่มของภูมิภาคมากขึ้น
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจากทั้งสองประเทศยังเพิ่มขึ้นในอาเซียนอีกด้วย “ภูมิภาคนี้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสในการเบี่ยงเบนการค้าที่เกิดจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ได้” รายงานระบุ
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ ได้จุดชนวนสงครามการค้ากับจีนด้วยการกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีน หลายพันรายการในปี 2018 และ 2019 ซึ่งกระตุ้นให้ปักกิ่งตอบโต้ ขณะที่รัฐบาลโจไบเดนยังคงภาษีส่วนใหญ่ไว้และยังกำหนดภาษีเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคม
ไอเอ็มเอฟกล่าวว่า จากการวิเคราะห์เชิงประจักษ์พบว่า เศรษฐกิจอาเซียนหลายแห่งมีการส่งออกสินค้ากลุ่มที่ถูกเรียกเก็บภาษีจากตอบโต้กันระหว่างจีนกับสหรัฐสูง และเติบโตเร็วกว่าการส่งออกสินค้าประเภทอื่น
นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังระบุด้วยว่า อาเซียนพบว่าการส่งออกสินค้าที่ถูกเรียกเก็บภาษีเหล่านี้ไปยังประเทศอื่นนอกตลาดจีนและสหรัฐ เพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าอาเซียนไม่เพียงแต่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนเส้นทางการค้าเท่านั้น แต่ยังได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดอีกด้วย และการค้าระหว่างสมาชิกของสหภาพการเมืองและเศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
โดยรวมแล้วไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า แนวโน้มเหล่านี้มีส่วนทำให้อาเซียนมีส่วนแบ่งของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การส่งออกทั่วโลกและสินค้ามูลค่าเพิ่มของโลกเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านการเงินตั้งข้อสังเกตว่า กำไรที่ได้จากภาษีศุลกากรระหว่างจีนและสหรัฐ ไม่ได้แปลว่าการส่งออกโดยรวมของสมาชิกอาเซียนทั้งหมดแข็งแกร่งขึ้น
ในขณะที่สมาชิกบางราย เช่น เวียดนาม ประสบกับการเติบโตด้านการส่งออกที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกตั้งแต่ปี 2018 แต่การเติบโตของการส่งออกในอีกหลายประเทศ เช่น ไทย กลับชะลอตัวลง หรือหยุดนิ่ง เช่น ในกรณีของฟิลิปปินส์และสิงคโปร์
ซีเอ็นบีซีเคยรายงานก่อนหน้านี้ว่าเวียดนามได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำแห่งหนึ่งสำหรับบริษัทต่างๆ ในการกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน ท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซียและอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตามไอเอ็มเอฟเตือนว่า แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้นอาจส่งผลเสียต่อภูมิภาคในอนาคต ตัวอย่างเช่น การแยกตัวของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะลดกิจกรรมในหุ้นส่วนการค้าหลักของอาเซียน เช่น สหรัฐและจีน และอาจทำให้ความต้องการสินค้าจากภายนอกของภูมิภาคที่พึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมากลดลง
เมื่อวันศุกร์ไอเอ็มเอฟได้ปรับเพิ่มแนวโน้มการเติบโตในปี 2024 และ 2025 สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดขึ้น 0.1% จากการคาดการณ์ครั้งสุดท้ายในเดือนเมษายน โดยคาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัว 4.6 % ในปี 2024 และ 4.4% ในปี 2025
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับเพิ่มประมาณการ แต่ไอเอ็มเอฟยังได้เตือนด้วยว่า การเติบโตกำลังเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึง “ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของอุปสงค์ทั่วโลก และความเสี่ยงตลาดการเงินผันผวน”