สงครามการค้า ‘สหรัฐ - จีน’ จะไม่มีผู้ชนะ ท่ามกลางผวา ‘ทรัมป์’ เพิ่มไฟขัดแย้ง
“ทูตจีน” ลั่นในสงครามภาษี หรือสงครามการค้า ไปจนถึงการแข่งขันวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม จะไม่มีใครเป็นผู้ชนะ ท่ามกลางความกังวลหลังโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะเลือกตั้งประธานาธิบดี จะจุดความขัดแย้งเศรษฐกิจสหรัฐกับจีน รุนแรงอีกครั้ง
เซี้ย เฟิง เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐ กล่าวว่า ความแตกต่างระหว่างจีนและสหรัฐ ควรเป็นแรงผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ร่วมกัน มากว่าจะเป็นข้ออ้างที่จะ “ปฏิเสธและเผชิญหน้า” เพราะความสำเร็จสองฝ่าย ต่างก็เป็นโอกาสของกันและกัน
เซี้ย กล่าวในงานเลี้ยงอาหารค่ำจัดโดยสภาธุรกิจสหรัฐ-จีน ในนครเซี่ยงไฮ้ เมื่อวันพฤหัสบดี (7 พ.ย.) ซึ่งเซี่ยไม่ได้กล่าวถึงผลการเลือกตั้งสหรัฐ หรือทรัมป์โดยตรง ตามที่ก่อนหน้านี้เคยมีการกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีน มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ก่อนจะสงบศึกและตกลงได้ในเดือนมกราคม 2563
เมื่อปี 2562 เศรษฐกิจจีนเติบโต 6% ซึ่งอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 30 ปี โดยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐ ขณะนั้นเศรษฐกิจจีนได้ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าเศรษฐกิจขยายตัวเพียงเล็กน้อยที่ประมาณ 5% ในปี 2567 แล้วการที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง และจะกลับมาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม อาจส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะงักงัน หากเกิดความขัดแย้งทางการค้าครั้งใหม่
พรรครีพับลิกันให้คำมั่นจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่ส่งออกมายังสหรัฐถึง 60% เมื่อเทียบกับการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่เกิดขึ้นในรัฐบาลสมัยแรกของทรัมป์ อยู่ที่ 7.5 - 25%
ทั้งนี้ เพื่อย้ำเตือนสหรัฐถึงการดำเนินธุรกิจของบริษัทสหรัฐในประเทศจีน ทูตเซี่ยชี้ให้เห็นว่า ปีที่ผ่านมา แมคโดนัลด์ได้เปิดสาขาใหม่ประมาณ 60% ในประเทศจีน ขณะที่เซี่ยงไฮ้เป็นเพียงใหญ่เพียงแห่งเดียวในโลก มีร้านกาแฟสตาร์บัคส์ มากกว่า 1,000 แห่ง
“ยิ่งมีความร่วมมือเป็นประโยชน์ต่อกันที่ประสบความสำเร็จมากเท่าไร่ ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น” เซี้ยกล่าวและชี้ว่า จีนและสหรัฐ สามารถบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อีกมากมายผ่านความร่วมมือ และควรขยายความร่วมมือออกไปอีก
“หากแต่ความพยายามใดๆ ที่จะควบคุม หรือจัดการจีน จะไม่เป็นผล ชนเข้ากับกำแพง” ทูตจีนกล่าว
นักวิเคราะห์มองว่า จีนพร้อมตอบโต้ หากสงครามการค้ารอบใหม่เกิดขึ้น
“แม้ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เราจะเห็นความสัมพันธ์สหรัฐและจีนดีขึ้นอย่างทันทีทันใด แต่ถึงอย่างไรปักกิ่งก็ยังคงให้ความสำคัญกับการพึ่งพาภายในประเทศ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจต่อไป” โจ มาเซอร์ นักวิเคราะห์อาวุโสบริษัทที่ปรึกษา Trivium China กล่าว
จูเลียน อีวานส์-พริทชาร์ท หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ของ Capital Economics โพสต์ไว้ในวันพฤหัสบดีว่า ได้ประเมินผลกระทบโดยตรงหากสหรัฐกำหนดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนถึง 60% นั้นจะส่งผลเพียงไม่ถึง 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ของจีน
นักวิเคราะห์ของ Citi ประเมินผลกระทบถ้าสหรัฐเก็บภาษีนำเข้า 60% ว่า ค่าเงินหยวนอาจลดลงเกือบ 12% จากระดับปัจจุบันเทียบกับดอลลาร์ และหากไม่มีการตอบสนองใดๆ จากรัฐบาลปักกิ่ง
ทั้งนี้ การผ่อนคลายมาตรการทางการเงินเพิ่มเติมก็เพื่อสนับสนุนการเติบโต อาจสร้างความเสี่ยงเงินตราไหลออกนอกประเทศมากขึ้น และขัดต่อความต้องการของผู้นำจีน ซึ่งอยากให้เงินหยวนแข็งค่า
ไม่ชัดเจนว่า ผู้นำจีนมองว่าภัยคุกคามเศรษฐกิจจีนนี้เป็นเพียงกลยุทธ์การเจรจาหรือไม่ ขณะที่สื่อจีนก็เงียบจนผิดปกติตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือกตั้งสหรัฐ
อย่างไรก็ตามสถาบันคลังสอง หรือ Think Tank ของจีนออกมาเตือนว่า การเจรจาการค้าในรัฐบาลทรัมป์สอง จะยากกว่าสงครามการค้าครั้งก่อนๆ มาก
อ้างอิง : Reuters , TheBusinessStandard