Gen z มีต้นทุนชีวิตสูงขึ้น เป็น ‘หนี้’ เพื่อเติมเต็มชีวิตในยุคค่าครองชีพแพง
Gen z มีต้นทุนชีวิตสูงขึ้น เพราะ ‘เงินเฟ้อ’ ฐานรายได้ต่ำกว่าเมื่อ 10 ปีก่อน สวนทางค่าครองชีพพุ่ง ค่าเรียน-ค่าที่อยู่อาศัยแพง จนเปลี่ยนวิธีการใช้เงินยอมเป็น ‘หนี้’ ติดกับดัก ‘ดอกเบี้ย’ เพื่อเติมเต็มชีวิต
คนรุ่นใหม่ ทั้ง “Gen Z” และ “มิลเลนเนียล” กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สินมหาศาล พร้อมกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ “ต้นทุนชีวิต” หรือค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นค่าที่อยู่อาศัย ค่าศึกษา หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวัน ทำให้การเริ่มต้นชีวิตวัยผู้ใหญ่เป็นเรื่องยากกว่าที่เคย โดยเฉพาะวัยที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญของชีวิต เช่น การซื้อบ้านหลังแรก หรือการสร้างครอบครัว
Gen Z ติดกับดัก ‘ดอกเบี้ย’
ข้อมูลจาก TransUnion เผยให้เห็นว่าคนรุ่น Gen Z วัย 22-24 ปี กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สินและอัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่รุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยมีทั้งหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อนักศึกษาที่สูงกว่ากลุ่ม Gen Z ในช่วงวัยเดียวกันเมื่อ 10 ปีก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ยอดคงเหลือในบัตรเครดิตเฉลี่ยของกลุ่มนี้ก็พุ่งสูงขึ้นถึง 26% เมื่อเทียบกับกลุ่ม Gen Y ในอดีต ส่งผลให้ภาระหนี้สินของ Gen Z ในปัจจุบันหนักอึ้งกว่าเดิมมาก เนื่องจากอัตรา “ดอกเบี้ย” ของบัตรเครดิตพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
คนรุ่น Gen Z มีหนี้บัตรเครดิตเร็วกว่าคนรุ่นอื่นๆ เพราะมีรายได้น้อยและมีเงินออมน้อย จึงหันมาใช้การกู้ยืมสินเชื่อเพื่อเติมเต็มชีวิต ในความเป็นจริง คนรุ่นใหม่ยังมีโอกาสที่จะฟื้นฟูสถานะทางการเงิน แต่อย่าลืมว่าภาระหนี้สินที่แบกรับอยู่ในปัจจุบันอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตในระยะยาวอย่างมาก
McClary จาก NFCC ได้กล่าวว่าการกู้เงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงจะขัดขวางการเก็บเงินไว้ใช้ในอนาคต นั่นหมายความว่า แม้จะสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินในปัจจุบันได้ แต่ผลกระทบที่ตามมา เช่น ประวัติเครดิตที่เสียหาย หรือเข้าถึงสินเชื่อยากขึ้น
ฐานเงินเดือนต่ำ สวนทางต้นทุนชีวิตพุ่งสูงขึ้น
ข้อมูลจาก TransUnion เผยให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 22-24 ปี มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าคนรุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเปรียบเทียบกับคนรุ่นมิลเลนเนียลในวัยเดียวกัน พบว่าคนรุ่นใหม่มีรายได้น้อยกว่าถึง 6,359 ดอลลาร์ หรือ 12.26% เมื่อปรับอัตราเงินเฟ้อแล้ว แสดงให้เห็นถึงความท้าทายทางการเงินที่คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญในการเริ่มต้นชีวิตการทำงาน
ด้วยรายได้ที่จำกัดและเงินออมที่น้อยกว่า คนทำงานรุ่นใหม่จึงหันมาพึ่งพาสินเชื่อเพื่อมาเติมเต็มช่องว่างทางการเงินที่ขาดหายไป ส่งผลให้หลายคนโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z มีหนี้บัตรเครดิตตั้งแต่อายุยังน้อย
คนรุ่นใหม่กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักในการหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเลือกเช่าหรือซื้อก็ตาม ค่าครองชีพที่สูงขึ้นโดยเฉพาะค่าเช่าที่พุ่งทะยานถึง 30% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้การมีที่พักอาศัยที่สะดวกสบายและตรงตามความต้องการเป็นเรื่องยากขึ้นมาก ในขณะที่รายได้เพิ่มขึ้นเพียง 20% ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างรายได้และค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยอย่างเห็นได้ชัด
ข้อมูลจาก StreetEasy เผยให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการเช่าอพาร์ตเมนต์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กำลังกัดกินรายได้ของคนทำงาน ทำให้พวกเขามีเงินออมน้อยลงและส่งผลกระทบต่อเป้าหมายทางการเงินระยะยาว เช่น การซื้อบ้านหรือการออมเงินเพื่อเกษียณอายุ การที่ค่าเช่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้คนทำงานต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น และมีเงินเหลือเก็บน้อยลง ทำให้การบรรลุเป้าหมายทางการเงินอื่นๆ เป็นไปได้ยากขึ้น
ราคาบ้านในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นถึง 40% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านเพิ่มขึ้นอย่างมาก สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้บ้านราคาไม่แพงหายากยิ่งขึ้น ซึ่งระดับบ้านราคาเหมาะกับผู้ที่มีรายได้ปานกลางส่วนใหญ่สามารถจ่ายได้ ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันกลายเป็นตลาดที่เข้าถึงได้ยากที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ส่งผลให้ครัวเรือนอเมริกันกว่า 3 ใน 4 ไม่สามารถซื้อบ้านราคาปานกลางได้
จบพร้อม ‘หนี้’
ปริญญาตรีเคยถูกมองว่าเป็นบัตรผ่านสู่โอกาสที่ดีกว่าในชีวิตการทำงาน แต่ในปัจจุบันสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เพราะค่าเล่าเรียนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริญญาตรีกลายเป็นภาระทางการเงินที่หนักอึ้งสำหรับหลายคน ส่งผลให้ประโยชน์ที่เคยได้รับจากการมีปริญญาตรี ไม่ว่าจะเป็นการได้งานที่ดีหรือเงินเดือนสูง เริ่มไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับ
ค่าใช้จ่ายในการศึกษาในระดับอุดมศึกษาในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นกว่า 68% ปัจจุบัน ค่าเล่าเรียนเฉลี่ยต่อปีสำหรับมหาวิทยาลัยรัฐอยู่ที่ 24,920 ดอลลาร์ หรือราว 8.6 แสนล้านบาท หากรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอด 4 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยชั้นนำอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึงเกือบ 400,000 ดอลลาร์ ราว 13 ล้านบาท
ค่าเล่าเรียนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้นักศึกษามากขึ้นต้องพึ่งพาเงินกู้เพื่อศึกษาต่อ โดยเฉลี่ยแล้ว นักศึกษาชาวอเมริกันที่จบการศึกษาจะมีหนี้สินจากการศึกษาประมาณ 37,850 ดอลลาร์ หรือ 1.3 ล้านบาท ส่งผลให้เกือบครึ่งหนึ่งของบัณฑิตจากทั้งมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนจบการศึกษาพร้อมกับภาระหนี้สินนี้ และข้อมูลจาก Education Data Initiative เผยให้เห็นว่าปัจจุบันมีชาวอเมริกันกว่า 42 ล้านคนกำลังแบกรับภาระหนี้สินจากเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาจากรัฐบาลกลาง
Gen z เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ
กลุ่มวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาวอายุ 18-29 ปี ในสหรัฐตอนนี้มีจำนวนหนี้สินรวมกันสูงถึง 1.12 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 41 ล้านล้านบาท แม้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับหนี้สินทั้งหมดของประเทศ แต่ถือเป็นหนี้ก้อนแรกของคนหนุ่มสาวที่ต้องแบกรับในช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงาน ทำให้ต้องกังวลและไม่มั่นใจในอนาคตทางการเงิน อาจจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อชำระหนี้ และเลี่ยงการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น นำไปสู่วินัยทางการเงินที่เปลี่ยนไป “เก็บออม” มากกว่าใช้จ่าย หรือ ลงทุน
พฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไปอาจนำไปสู่การลดลงของกำลังซื้อและส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐในระยะยาว
มาร์ซี่ เมอร์ริแมน จาก EY ได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของคนรุ่น Gen Z ที่มีต่อแนวคิดเรื่องการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการซื้อบ้าน การบริโภค และการมีครอบครัว ซึ่งแตกต่างจากคนรุ่นก่อนอย่างมาก ตัวอย่างเช่น การเลื่อนการซื้อบ้านออกไป หรือการเลือกเช่าที่อยู่อาศัยที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า ทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่เคยมีอยู่ต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน ธุรกิจใดที่สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการและพฤติกรรมของ Gen Z ได้เป็นอย่างดี จะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้ในอนาคต
มิเชล ราเนอรี ฝ่ายวิจัยบริการทางการเงินของ TransUnion ได้เปิดเผยถึงความจริงที่น่าตกใจว่า คนรุ่นใหม่ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “คนรุ่นใหม่ที่ร่ำรวย” กำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงินที่คาดไม่ถึงในช่วงเวลาสำคัญของชีวิตที่ควรจะได้เริ่มต้นสร้างฐานะที่มั่นคง
จะซื้อจนกว่าจะหมดแรง !
หลังจากช่วงเวลาที่ทุกคนต้องประหยัดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาลดค่าใช้จ่าย แต่กลุ่ม Gen Z กลับมีพฤติกรรมที่แตกต่างออกไป พวกเขายังคงรักษาพฤติกรรมการใช้จ่ายที่สูงเหมือนเดิม หรืออาจสูงขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
แม้ค่าครองชีพจะสูงขึ้น แต่พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคกลับมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ ในขณะที่คนรุ่นก่อน ๆ มีแนวโน้มที่จะลดการจับจ่ายใช้สอยในร้านค้าปลีก กลุ่มมิลเลนเนียลและเจนซีกลับเพิ่มการใช้จ่ายสูงขึ้นถึง 32% และ 17% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2018 พวกเขายินดีที่จะใช้จ่ายเงินกับสิ่งที่ตนเองต้องการ ไม่ว่าจะเป็นของฟุ่มเฟือย เช่น ตั๋วคอนเสิร์ต หรือทริปท่องเที่ยว หรือแม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างเครื่องดื่มจากร้านกาแฟชื่อดัง
พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนรุ่นมิลเลนเนียลและเจนซีกลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเจนซีที่ใช้บัตรเครดิตเกินวงเงินหรือชำระล่าช้าสูงถึง 1 ใน 7 คน ตามข้อมูลจากธนาคารกลางนิวยอร์ก แม้จะมีวงเงินเครดิตที่จำกัดกว่ารุ่นก่อน แต่คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้กลับใช้วงเงินที่มีอยู่อย่างเต็มที่ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ของคนวัย 20 ปีเพิ่มขึ้นจาก 12% ในปี 2013 เป็น 16% ในปี 2023 ตามข้อมูลของ TransUnion ซึ่งบ่งชี้ว่าแทนที่จะลดการใช้จ่าย พวกเขากลับหันไปพึ่งพาหนี้สินรูปแบบใหม่เพื่อสนองความต้องการในการบริโภคมากขึ้น
อ้างอิง Bloomberg