‘สหรัฐ-ฟิลิปปินส์’ ลงนามแบ่งปัน 'ข้อมูลความลับการทหาร' ต้านอิทธิพลจีนในภูมิภาค
รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐและฟิลิปปินส์ ลงนามข้อตกลงแบ่งปันข้อมูลและเทคโนโลยีการทหารที่เป็นความลับราชการ กระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นเพื่อต่อต้านอิทธิพลจีนในภูมิภาค
เอเอฟพีรายงานว่า ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ลงนามข้อตกลงดังกล่าวร่วมกับ กิลเบอร์โต อีโอโดโร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมฟิลิปปินส์ ในระหว่างเริ่มเยือนกรุงมะนิลา และได้ร่วมประชุมแบบปิดกับเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์
“ข้อตกลงความปลอดภัยทั่วไปของข้อมูลการทหาร” หรือ The General Security of Military Information Agreement เป็นข้อตกลงที่เปิดให้มีการแบ่งปันข้อมูลความลับราชการที่เป็นประโยชน์ต่อการป้องกันประเทศของฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นพันธมิตรสหรัฐ และปรับปรุงประสิทธิภาพการจำหน่ายเทคโนโลยีที่เป็นความลับ
(ซ้าย)เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ (ขวา)ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ
อาร์เซนิโอ อันโดลอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงกลาโหมฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ข้อตกลงนี้จะเปิดให้ฟิลิปปินส์เข้าถึง “ศักยภาพการทหารที่ดีขึ้นและอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่าสูง” จากสหรัฐ และ “เปิดโอกาสให้มีการทำข้อตกลงที่คล้ายกันนี้กับประเทศที่มีแนวคิดเหมือนกัน”
ออสตินและทีโอโดโร ยังได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ “ศูนย์บัญชาการและการประสานงานร่วม” ภายในศูนย์บัญชาการใหญ่ในกรุงมะนิลา
“ศูนย์แห่งนี้จะช่วยแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์ทำให้เกิดภาพรวมในการปฏิบัติงานร่วมกัน และจะช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นเวลาหลายปี” ออสติน กล่าว
“นี่จะเป็นสถานที่ที่กองทัพของพวกเราสามารถทำงานร่วมกันเพื่อรับมือกับความท้าทายในภูมิภาค”
นอกจากนี้ รัฐมนตรกลาโหมออสติน มีกำหนดเยือนปาลาวัน เกาะทางตะวันตกของประเทศในวันอังคาร (19 พ.ย.) เพื่อพบปะกับกองทัพฟิลิปปินส์ที่ปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนทะเลจีนใต้และป้องกันด่านหน้า
ด้านหลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน บอกว่า ความตกลงทางทหารใด ๆ หรือความร่วมมือด้านความมั่นคงใด ๆ ต้องไม่มุ่งเป้าไปที่บุคคลที่สาม หรือเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของบุคคลที่สาม ไม่ทำลายสันติภาพในภูมิภาค และไม่ทำให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาคมากขึ้น
ทั้งนี้ การเยือนของออสตินมีขึ้นขณะที่รัฐบาลของมาร์กอสตอบโต้การอ้างสิทธิ์เหนือน่านน้ำทะเลจีนใต้ส่วนใหญ่ และทรัมป์กำลังจะขึ้นเป็น ประธานาธิบดีสหรัฐ คนต่อไป
อ้างอิง: AFP