ไม่อยากง้อชิปสหรัฐ! หุ้นชิปจีน ‘SMIC’ พุ่ง 120% รับแรงหนุนมุ่ง ‘พึ่งพาตนเอง’
หุ้น ‘SMIC’ ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปของจีน พุ่งทะยาน 120% นับตั้งแต่จุดต่ำสุดในเดือนกันยายน รับแรงหนุนจาก 'นโยบายพึ่งพาตนเอง' ของจีนที่เข้มข้นขึ้น หลังจากเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐที่พยายามปิดกั้นเทคโนโลยีจีน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า หุ้นของบริษัท “Semiconductor Manufacturing International Corp.” (SMIC) ผู้ผลิตชิปสัญชาติจีนและถูกใช้เป็น “ส่วนมันสมอง” ของ Huawei มีมูลค่าเพิ่มขึ้น “มากกว่าสองเท่า” ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากคาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากนโยบายการพึ่งพาตนเองของจีน แม้ว่ายังคงมีความเสี่ยงจากการแข่งขันและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
หุ้นของบริษัทผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีน ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ เพิ่มขึ้น 120% นับตั้งแต่จุดต่ำสุดในเดือนกันยายน แซงหน้าบริษัทชิปชั้นนำของโลก เช่น Nvidia และ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. โดยหุ้นในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นของ SMIC ในตลาดหุ้นฮ่องกงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งจากนักลงทุนชาวจีน
ทั้งนี้ การเข้ามาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ผลักดันราคาหุ้นของ SMIC และบริษัทท้องถิ่นอื่น ๆ ให้ทะยานขึ้น เนื่องจากเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากความพยายามพึ่งตัวเองของจีน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนบางรายเตือนว่า หุ้นเหล่านี้ดูแพงเกินไปในขณะนี้ และอุตสาหกรรมชิปของจีนยังคงเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจและข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่สำคัญ
“มีการซื้อขายแบบเก็งกำไรมาก และการซื้อขายขึ้นอยู่กับข่าวสารมากกว่าพื้นฐาน” เซียง เซียวถาน ผู้อำนวยการของ Shanghai Chengzhou Investment Management Co. กล่าว “ธีมการซื้อขายหลักคือการทดแทนภายในประเทศ เนื่องจากบริษัทจีนจะต้องหันไปใช้ผู้ผลิตชิปท้องถิ่น”
ในการผลิตชิป จีนใช้จ่ายเงินมากกว่าประเทศอื่น ๆ เนื่องจากพยายามลดช่องว่างทางเทคโนโลยีกับชาติตะวันตก อีกทั้งคำมั่นสัญญาของปักกิ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุด ได้เร่งให้ราคาหุ้น SMIC รวมถึง Hua Hong Semiconductor Ltd. ปรับตัวขึ้นสูงจากระดับต่ำในเดือนกันยายน
ตามรายงานของ Bloomberg Intelligence ได้คาดการณ์ว่า การเติบโตด้านยอดขายของ SMIC จะสูงกว่าคาดสำหรับไตรมาสนี้ เนื่องจากมีราคาที่แข่งขันได้
สำหรับ SMIC ที่จดทะเบียนในฮ่องกง ซื้อขายที่อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีข้างหน้า (Forward P/B) ที่ราว 1.2 เท่า สูงกว่าระดับเฉลี่ยสามปีที่ 0.9 เท่า
อ้างอิง: bloomberg